วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ROAMING Laos Trip (Luang prabang 10-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Luang prabang 10-01-58

  • งานปั่นก็มา
      o0Oการนอนในผ้าห่มอุ่นๆและเปิดแอร์18องศานี้มันชั่งดีจริงๆ ... .ทำไมมันเริ่มหนาวขึ้นทุกทีๆ.. .. .!!! เฮ้ยมันไม่ใช่นี่หว่า เรานอนอยู่บนรถนอนหนิ! กี่โมงแล้ว? พอผมหันมองไปเห็นนาฬิกาดิจิตอล บนหัวรถบัสมันแสดงเวลา 4:30 am และผมก็พยายามลืมตาที่มีความหนักมหาศาลมองไปทางกระจกอีกครั้งปรากฎว่ารถทั้งคันถูกปกคลุมไปด้วยไอความเย็นจากข้างนอกรถ ไม่แปลกที่จะหนาวขนาดนี้ อากาศที่หนาวจนทำให้ผ้าห่มบางๆที่มีความหนาเท่าเสื้อยืดหนึ่งตัวนั้นแทบไม่ได้มีผลอะไรกับผมเลย ระหว่างนั้นผมหลับๆตื่นๆ อยู่หลายรอบ จนกระทั่งรถจอดสนิท.. .

อากาศที่หนาวจนเข้ากระดูกทำให้กว่าจะออกจากรถบัสนอนนั้นได้จึงใช้เวลาซักพักนึงเลย พอเราได้ของกันครบสามคนแล้วก็เดินมาตรงสถานีขนส่ง หลวงพระบาง อากาศในตอนนั้น ผมทายว่าน่าจะเลขหลักหน่วยได้เลยเพราะ หมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ระยะ 30-40เมตรก็ไม่สามารถมองเห็นได้แล้วประกอบกับฝนที่ตกลงมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสายไม่แปลกที่จะทำให้การพูดทุกประโยคของพวกเรานั้น มีไอหนาว ออกมาแบบ ไม่ต้องเกร็งความอุ่นจากภายในปอดเพื่อให้มีไอเลย 

เราสามคน งุนงง กับอากาศ กับอาการ จากการตื่นนอนที่ไม่เต็มอิ่ม ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ จนเหลือบไปเห็นผู้หญิงสองคน ที่เรา ได้ทำความรู้จักแบบคร่าวๆแล้วว่า เป็นคนไทย... (เนื่องจากก่อนหน้าที่เราจะขึ้นรถบัสนอน สายวังเวียง-หลวงพระบางนั้น ผู้หญิงสองคนนั้นก็ยืนรอเพื่อที่จะขึ้นรถคันเดียวกันเช่นกัน เพราะอะไรเราถึงรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นเป็นคนไทยน่ะหรอ...ก็เพราะซิมที่เราซื้อมานั้นยังใช้ไม่ได้น่ะสิ...เดินถามคนลาวมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คนจนมาถึงผู้หญิงสองคนนี้ คำตอบก็เช่นเดิม ไม่มีใครรู้เลย เราตั้งใจรีบซื้อซิมเพราะเพื่อที่จะใช้บนรถนอนแต่สุดท้ายก็อด และจำใจ นอน )

ดูท่าทางเค้าจะมีแพลนของเค้าสองคนแล้วเพราะจากเรามองได้ไม่นานสองคนนั้นก็ขึ้นรถสองแถวไปเรียบร้อย 
หลังจากมีเวลาให้สมองได้ฟื้นตัว เราก็ตัดสินใจ ซื้อตั๋วรถ เดินทางไปวังเวียง สำหรับ พรุ่งนี้เช้าเลย เพราะกลัวว่าสถานีขนส่งจะไกลจากตัวเมือง (ค่าตั๋วรถเดินทาง หลวงพระบาง-วังเวียง 105,000กีบ หรือประมาณ 430 บาทไทยถ้วน )
เมื่อเราได้เอาแบงค์ราคาแสนกว่าๆแลกกับเครื่องรับประกันว่าเรามีรถไปวังเวียงต่อแน่นอน แล้ว แผนต่อไปคือการหารถเข้าเมือง พวกเราลังเลกันอยู่นานว่าจะเดินหรือนั่งรถสองแถวไปดี สุดท้ายเราตัดสินใจที่จะนั่งรถเพราะบรรยกาศที่ไม่เอื้ออำนวยเอาซะเลย โดนกันไปคนละ 15,000 กีบ ประมาณ 60 บาท สามคนก็ 45,000 กีบ เพราะพี่สองแถวแกขับมาส่งถึงใจกลางเมืองหลวงพระบาง แล้วก็ถึงเวลาลุยอากาศหนาว ตามหาที่พัก พอเดินกันมาได้ซักพักหลังจากที่เจอป้ายเต็มมาได้สองสามที่ เราก็ได้ที่พัก ที่มีราคาเป็นที่น่าพอใจ คือ 130,000 กีบ ประมาณ 420 บาท เท่านั้น
หลังจากเข้าที่พัก อาบน้ำกันเสร็จใช่ว่าจะเฮฮาปาร์ตี้ออกไปทัวร์เมืองโบราณเก่าแก่สไตล์ฝรั่งเศสได้เลยนะครับ
ฝนที่เป็นอุปสรรคตั้งแต่เข้าเขตแดนหลวงพระบางนั้นก็ยังไม่เข้าใจหัวอกนักเดินทางที่มีเวลาจำกัดเลย 

เราสามคนทนกันได้ไม่นาน ตัดสินใจเดินออกจากที่พัก เริ่มต้นกันที่ ตลาดซ้าว (ตลาดเช้าหลวงพระบาง "สีสันยามเช้าในเมืองหลวงพระบาง" เป็นตลาดที่ชาวหลวงพระบางนำผลิตผลการเกษตรมาวางขายตามถนนเลียบแม่น้ำโขง เช่น ของป่า ผัก ที่หามาได้ มาวางขายกัน และโดยเฉพาะปลาแม่น้ำโขง ซึ่งมีอยู่มากมายเนื่องจากหลวงพระบางเป็นเมืองที่ติดกับแม่น้ำโขงดังนั้น ปลาที่ตลาดเช้าหลวงพระบางจะสดใหม่มาก ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจะติดตลาดขายของกันแต่เช้ามืด 

เราสามคนเดินลัดเลาะกันไปจนถึงอีกฝั่งก็ยังไม่รู้จะไปไหนเราเลยตัดสินใจจะไปร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากจากการรีวิวหลวงพระบาง เราเดินตามหากันอยู่ซักพักนึง...จึงรู้ว่ามันเลยที่พักเรามาแค่ไม่ถึง 100 เมตรเท่านั้น (เดินอ้อมไปซะไกลเลยเว้ย)

"กาแฟประชานิยม ที่นี่แหละ" (กาแฟประชานิยมหลวงพระบาง) "เข้มข้นสไตล์กาแฟแท้ของลาว"
ร้านกาแฟประชานิยมหลวงพระบางเป็นเพิงอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ ติดถนนเลียบแม่น้ำโขงซึ่งเป็นท่าเรือข้ามฟากไปยังเมืองเชียงแมน ร้านมี กาแฟลาว ขนมคู่(ปาท่องโก๋) สำหรับคอกาแฟที่อยากลิ้มลองกาแฟลาว จากเมืองปากซองต้องมาที่นี่ เพราะเจ้าของเขาใช้กาแฟคั่วบดซึ่งสั่งตรงมาจากภาคใต้ของลาวเลยทีเดียว ) เสียงในหัวดังขึ้นจนต้องพูดออกมา พอจับจองที่นั่งของใครของมันได้ เราก็ระดมสั่ง ข้าวต้ม กาแฟ ไข่ลวก และหยิบปาท่องโก๋ กันใหญ่เลย พอกินกันเสร็จ สรุป กาแฟที่สั่งก็ยังไม่ได้ ประกอบกับท้องที่เริ่มอยู่ตัวแล้วเลยยกเลิกกาแฟไป เพราะยังไงพรุ่งนี้เช้าก็ต้องมากินอยู่แล้วก่อนกลับ หมดกันไปหมื่นกว่ากีบ เท่านั้นเองครับ สำหรับมื้อเช้าหนักๆของเราวันนี้....

หลังจากที่เราสามคนเติมพลังกันแล้วก็ถึงเวลา หาจักรยาน เพื่อปั่นเที่ยวรอบเมืองอีกครั้ง ไม่เดินแล้ว ปวดไปทั้งเท้าเลย!! เราได้มาเจอร้านนึงครับ ราคาจักรยานราคาไม่แพงมากเกินไป 20,000 กีบ หรือราวๆ 80 บาท ต่อคัน เช่าตอนนี้ คืนอีกทีสองทุ่ม พร้อมรับพาสปอร์ตคืน
 เราตกลง แล้วนำยานพาหนะคู่กาย ออกเดินทางลุยฝนที่ยังตกลงมาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เราก็ไม่ยอมแพ้เวลามีจำกัดแต่ใจมีไม่จำกัดเว้ยย !! เราปั่น ชม ปั่น ลุย กันมาหลายวัด ชิมกาแฟ เล่น WIFI กันจนได้ที่ ก็ถึงสถานที่ ที่ถือว่าเป็น แลนด์มาร์ค ที่ดังเป็นอันดับต้นๆของหลวงพระบางกันเลยก็ว่าได้ นั้นคือ... .

วัดเชียงทอง ( ວັດຊຽງທອງ วัดเซียงทอง นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและงดงามที่นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสและชื่นชมมากที่สุดเมื่อเดินทางมาถึงหลวงพระบาง ซึ่งความงดงามและทรงคุณค่าของวัดเชียงทองได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็น "ดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว" เลยทีเดียว) เป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างมาก และที่สำคัญ เสียค่าเข้าชม อีกคนละ 20,000 กีบ...ไม่ใช่ว่าจะมาทุกวันซักหน่อย จับจ่ายกันเลยทีเดียว เราเดินชมวัดที่สวยงาม ฝีมือในการสร้างวัดนั้นมือหนึ่งเลย ทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายเงินสองหมื่นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่รู้สึกว่า ได้เสพบรรยกาศของวัดมาได้ซักพักแล้วถึงเวลาปั่นๆ ปั่น ปั่นๆ รอบเมือง กันต่อ... .

ในบรรยกาศอันหนาวเหน็บประกอบกับฝนปอยๆที่ตกมาอยู่เรื่อยๆ และ สถาปัตยกรรม โบราณ สไตล์ฝรั่งเศส นั้น ทำให้เหมือนว่าเรากำลังดื่มด่ำกับบรรยกาศในแถบทวีบยุโรปเลยก็ว่าได้ สวยงามมากๆ ทำให้หลงใหลในเสน่ห์ของหลวงพระบางในรูปแบบที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัส
หลังจากตัวชุ่มกันพอตัวแล้วเราก็ปั่นเข้าที่พักกันต่อหลังจากล๊อคจักรยานเป็นที่เรียบร้อย นึกว่าจะได้อาบน้ำนอนเล่นเอาแรง พนักงานที่พัก บอกว่า นอนสามคนต้องเพิ่ม เงินอีก50,000กีบ สำหรับคนที่สาม ไหนๆก็ไหนๆ ก็จ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่เราทำอะไรเสร็จแล้วก็พร้อมที่จะลุยกันอีกรอบแต่ครั้งนี้โหดกว่าที่คิดไว้เยอะ เราคิดกันว่าจะปั่นจักรยานเป็นระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเพื่อไปถึง...น้ำตกตาดแส้. ...

ปั่นสิครับ งานนี้ มีแต่ ปั่นๆ ปั่น เราปั่นตามแผนที่ที่โจแนะนำเรามา ลุย ปั่น ปั่ น ปั่ น ปั่  น ปั่   น ปั่       น ปั่      น น น น น เราสามคนปั่นกันจนแทบจะหมดแรง ผมตัดสินใจ ถามป้าที่ขายของชำอยู่ข้างทางว่า น้ำตก ตาดแส้ อีกไกลมั้ย เพราะเรารู้สึกว่าเราปั่นกันมาไกลมาก คำตอบที่ได้จากป้าคือ....
"อีก12กิโล" ความคิดที่มีแตกสลายทันทีเพราะทางที่ปั่นนั้นชันขึ้นทุกที เราตัดสินใจกลับกันไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเหมารถสองแถวกันไปแล้วกัน ล้าไปหมดทั้งตัวแล้ว

หลังจากที่เราได้ออกกำลังกายสำหรับวันใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย(ซะที่ไหนเล๊าาาว์) เราเดินทางปั่นกลับ..ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดครับ งานหลงทางก็มา หลังจากที่ปั่นกลับกันเข้าใจว่ามาถูกทางจนสังเกตได้ว่าทางไม่คุ้น เอาละไงครับ ระยะทางไกลขึ้นเรื่อยๆเลย จนเข้าใจว่า "พวกเราหลงแล้วล่ะ"

ความโชคดีในความโชคร้ายครับถึงจะหลงทางแต่อย่างน้อยเราได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น บ้านเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างดีมีแม่น้ำคานล้อมรอบเมืองทำให้เมืองนี้ไม่มีที่ติเลยสำหรับผม ถึงมันจะไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ แต่ทุกๆครั้งที่ผมเดินทาง ในการเดินทางที่แบบไม่ได้วางแผนไว้ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็น

ปั่นจนเราคุ้นทาง....กลับถึงที่พัก...ชำระล้างร่างกายกันเรียบร้อย..เราเดินทางไปคืนจักรยาน ในความโชคดีของเราอีกเรื่องร้านที่เช่าจักรยานของเราคือที่เดียวกับ ตลาดมืด("ตลาดมืด" หรือเรียกแบบภาษาไทยว่า "ตลาดค่ำ" จัดในลักษณะถนนคนเดิน ปิดถนน รถวิ่งเข้าไม่ได้ เข้าได้เฉพาะคนและจักรยานเท่านั้น )
เราตัดสินใจ หาอะไรกินไปด้วยเลย ตลาดมืดขายของคล้ายประเทศไทยทางภาคเหนือกับภาคอีสานเลยครับของที่เป็นเอกลักษณ์ของลาวเองก็มีครับเหมาะสำหรับซื้อไปฝากเพื่อนๆแต่พวกเราไม่ได้ติดตัวกันมาซักชิ้น..เหตุเพราะการคลังของแต่ละคนเริ่มจะต้องถึงเวลาคิดคำนวนเงินซื้อของกันแล้ว เดินไปได้ไม่ไกลมากพวกเราตัดสินใจหาร้านกินข้าวกันครับ เดิน เดิน เดิ น เดิ  นน

"เฮ้ยเจอเงินตก"ต้นเสียงคือโจ ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแต่จริง! จริง แห่งความจริง
"100,000 กีบ เลย" หลังจากที่เราตกลงแสดงความเป็นเจ้าของ กับ ธนบัตรใบนั้นแล้ว เราไม่ลังเลที่จะนำเงินจำนวนนี้ไปครุ่นคิดในร้านกาแฟ JOMA (ร้านกาแฟ JOMA มีชื่อเสียงในระดับนึงของประเทศลาวเพราะมีอยู่แทบทุกเมืองของประเทศนี้เทียบๆก็น่าจะเท่า กาแฟ amazon แต่ไม่ได้อยู่ในปั้มน้ำมัน)        ขอบอกเลยครับว่าอร่อยฝุดๆไม่ว่าจะเป็นกาแฟ น้ำปั่น นม พวกเราสามคนลองกันหมด ราคาแต่ละแก้ว ก็มี 15,000 กีบ จนไปถึง 25,000 กีบ กันเลย






พวกเราเหลือเงินอยู่จำนวนนึงจากความโชคดีของโจเราตัดสินใจลองกินหมูกระทะ ลาว กันดูเปรียบเทียบความแตกต่าง สิ่งที่แตกต่างคือ มีเนื้อควาย และ น้ำจิ้มที่แสนอร่อย ของร้านนั้น ผมไม่ชำนาญทางด้านน้ำจิ้ม แต่ที่ลิ้นรับรสได้นั้น บอกได้ แค่ว่า "อร่อย" เราเสียค่าหมูกระทะเมืองลาว 60,000 กีบ ตกคนละ 245 บาท


พอกินกันเสร็จเราเพิ่มเงินกันอีกคนละนิดหน่อย หลังจากที่แชร์จากเงินที่เก็บได้ และเดินทางกลับที่พักแต่พวกเราก็ไม่ลืม ที่จะลิ้มรสเบียร์ลาวอีกแบบที่ไม่ค่อยเห็นขายในประเทศไทย คือ  Beer Lao Dark
รสชาติเข้มกว่าครับ เหมาะสำหรับสายแข็ง หลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันก็ถึงเวลา พักผ่อน...ขนาดนอนอยู่ในห้อง พูดกันไอความเย็นยังออกจากปากเราไม่หยุดเลยครับ(หวังว่านอนครั้งนี้จะไม่มีเสียง ปั้ง...นะ)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น