วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

Laos Trip (Vang Vieng 12-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Vang Vieng 12-01-58


  • วันแห่งความท้าทาย
    เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ...หลายคนคงได้ยินคำนี้บ่อยจนคุ้นชิน..ซึ่งมันมักจะเป็นความจริงซะด้วย.. . แต่พึ่งจะผ่านความสุขแบบเรียบๆไปเท่านั้นเมื่อเทียบกับวันนี้ วันแห่งความท้าทาย. .. ..
เช้าเจ็ดโมงของวันที่5ของการท่องเที่ยวลาว อากาศที่บริสุทธิ์ที่อยากจะสูดเอาไว้ให้เต็มปอด.. เหตุที่เราสามคนต้องตื่นเช้าขนาดนี้เป็นเพราะว่า อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าเป็นเวลา แห่งการผจญภัยแล้วละครับ ก่อนที่จะลุย One day trip ที่เราได้ซื้อไว้ไปเมื่อวาน เราก็ขอแวะเติมพลังกับร้านอาหารก่อนครับ ร้านนี้มีรสชาติใช้ได้เลยทีเดียวและนิสัยที่น่ารักของเจ้าของร้านทำให้เรานั้นอยากกลับไปกินอีก

ระหว่างรอมื้อเช้า
โคตรน่ากิน(อร่อยด้วย)
8 โมงเช้ารถออกเดินทางจากหน้าบริษัทท่องเที่ยว เราเดินทาง โดยใช้ สองแถวเล็ก ออกไปทางนอกเมือง ลุยป่า ลุยโคลน ไปประมาณ 30นาที ก็จะถึงจุดหมายแรก ถ้ำรอด ลอยห่วงยาง (ต้องบอกก่อนว่าวังเวียง ถ้าจะให้เปรียบ ผู้คน ก็คล้ายพัทยาบ้านเรา เพราะว่าด้วยความที่ สถานที่แต่ละที่เที่ยวนั้น แทบจะไม่มีคนลาวเลย ส่วนใหญ่ คือคนเกาหลี รองลงมาคือ คนฝั่งตะวันตก และ คนไทยก็ไม่น้อยเหมือนกัน ในกรุ๊ป ทัวร์ ครั้งนี้ของผมก็มีคนไทยร่วมด้วย นอกจากพี่สองคนที่เราเจอเมื่อวาน)
หลังจากลงรถสองแถวเล็ก เราต้องเดิน เข้าไปต่อ อีกประมาณ 1-2 กม. เพื่อไปถึงถ้ำจัง ต่อคิวเพื่อที่จะ นั่งห่วงยางลอดเข้าไปในถ้ำน้ำ ดูหินงอกหินย้อยกันครับ
หลังจากที่รอมาได้ซักพักเนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก ก็ถึงคิวของพวกเรา ต่างคนต่างได้ อาวุธ(ห่วงยาง และ ไฟส่องกบ)ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ก็เกาะ เชือกไหล ตามน้ำไปเรื่อยๆ ข้างในมืดและยาวมาก ระหว่างทาง ก็มีคนสวนออกมาทางปากถ้ำเช่นกัน และ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น. .
เย็นตูดทุกคน

"ตู้มๆ ซ่าๆ ฮ่าๆ ฮิ้วๆๆ . . " ผมอยากให้เสียงที่ผมเขียนออกมาในแง่ดีแต่ความเป็นจริงแล้วจากอากาศที่หนาวจนเท้าแทบจะเป็นตะคริวแล้วนั้น ยังต้องโดน กลุ่มที่สวนออกไปดีดน้ำใส่ จากทางด้านหลัง(นี่มันโดนต่อยฝ่ายเดียวเลยนี่หว่า.. )หลังจากเข้ากันไปลึก เรื่อยๆ มีช่วงให้ออกจากห่วงยางมาเดิน เดินแล้วก็นั่งต่อ อากาศหนาวมากเปียกไปทั้งตัว .. พอถึงปลายทาง แล้วก็ต้องวนกลับทางเดิมอีกครั้งครับ. ..นั้นแหละครับอย่างที่ทุกคนคิดไว้ เราเอาคืนกลุ่มที่เข้ามาแบบที่เราเคยโดน เท้าใครเร็วใครได้ เตะน้ำมันเข้าไป ฮ่าๆ มันส์จริงๆเว้ย ย. ..จนเรา ออกมาข้างนอกปากถ้ำ. . .น้ำ .. .ไหนอะหินงอกหินย้อย. ... ฮ่าๆ ถึงเราไม่ได้ ดู กันแบบ ตั้งใจแต่อย่างน้อยที่เรารู้ก็คือ สนุกและหนาวมากครับ.  .

ช่วงพักให้ตัวแห้ง ทางทริปมีอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้เราเติมพลังเรา 5 คนเหมือนชนกลุ่มน้อยเลยเมื่อเทียบกับชาวเกาหลีที่อยู่ที่นี่

รู้นะคิดไร
นึกว่า ประเทศเกาหลี

ช้างปะละ

หลังจากถ้ำน้ำแล้วเราเดินออกมาปากทางก่อนถึงรถ เรามีถ้ำจัง(ถ้ำช้าง) ให้ได้ชมก่อน ด้วยครับ ด้วยหินย้อยที่มี รูปลักษณะ คล้ายช้างจึงทำให้ที่นี่มีชื่อว่าถ้ำช้างแต่ได้เรียกกันไปเรื่อยๆ จนถึงหูคนไทยว่าถ้ำจัง

เราขึ้นรถออกมา ทางต้นน้ำของแม่น้ำซอง อีกซักประมาณ10นาที เพื่อที่จะมาพายเรือคายัค เรามีพี่ไกด์แนะนำอุปกรณ์และวิธีการพายเรือ และเลือกเสื้อชูชีพ เป็นที่เรียบร้อย เราสามคนขึ้นเรือ ลำเดียวกันส่วน พี่สาวทั้งสอง ก็พายเรือคายัคอีกลำ 


เมื่อปล่อยตัวออกจากท่า ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่ดูแลตัวเองหลังจากนี้ ระยะทางประมาณ 5 กม. จากที่พี่ไกด์ได้บอกเราไว้ เราใช้เวลากันซักพักกว่าจะคุ้นชินกับไม้พายและเรือ พายมาได้ซักพักก็มีบาร์ให้แวะเที่ยวชมดื่ม กินเบียร์ลาว 20 นาที ครับ บรรยกาศดีติดริมน้ำ เห็นเรือและห่วงยางลอยผ่านไปทีละลำๆ  หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ

ด้วยความที่เป็นคนขี้แซว(กวนตีน) ก็แซวพี่ๆทั้งสองที่มาพร้อมกับเรา เพราะดูท่าพี่เค้าทั้งสอง จะยัง งง กับการควบคุมเรือ และเราได้พายแซงมา จนกระทั้ง. . ...


ทางข้างหน้าเริ่มเป็นน้ำเชี่ยว จึงต้องตามลาย คนข้างหน้าไว้ แต่. ..

"ครืดดด. . . ." เสียงดังมาจากใต้ท้องเรือ ประกอบกับ ทำให้เรือหยุดนิ่งไปด้วย เราสามคน งง และขยับตัวเผื่อเรือจะไหลต่อแต่ไม่เป็นผล จนมีไกด์ คนนึง พายผ่านมา เค้าบอกให้คนหลังสุดลงมาเหยียบหินเพื่อดันเรือนั้นคือเป็นใครไม่ได้นอกจากผม. .. 

ผมก้าวเท้าออกจากเรือแล้วเอาตัวเองออกมาจากเรือ และ ขยับเพียงเล็กน้อย เรือก็ขยับ แต่ด้วยกระแสน้ำที่ทำให้เรือนั้นไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผมต้องดึงเรือไว้ที่บรรทุกผู้ชายสองคนไว้บนเรือ ผมเลยก้าวเท้าเหยียบไปบนเรือทันใดนั้น. . .

"โครมมม มม ม มม. . ." เรือพลิกคว่ำข้าวของกระจายรวมถึงเพื่อนผมทั้งสอง ด้วยความลึกของน้ำนั้นไม่ได้ลึกมาก และ ทุกอย่างกำลังจะลอยไปตามน้ำ ผม กระโดดหยิบสิ่งของทีละอย่าง รวมถึงพลิกเรือให้กลับมาหงาย . . จนเก็บของได้ทั้งหมดผมก็ลอยมาจากจุด เรือล่ม ได้ประมาณร้อยเมตร แต่เมื่อผมหันกลับไปดูเพื่อน เพื่อนทั้งสองกำลังยืน ติดเกาะ (หินที่เรือติด) รอความช่วยเหลือ (นี่กูเก็บคนเดียวหมดเลยหรอวะเนี่ย. . ) เท่านั้นยังไม่พอ ยัง Selfie กันด้วย ..
สิ่งที่มอสกับโจทำ
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจพายเรือทวนน้ำเพื่อกลับไปรับเพื่อน(ที่กำลัง Selfie) จนกระทั้ง...

"พายอย่างงั้นวันนี้ก็ไม่ถึง" เสียงพี่ไกด์ ของ เรา ตะโกนแนะนำให้ผม พายมาข้างแม่น้ำรวมถึงเพื่อนทั้งสองให้เดินมาข้างแม่น้ำ
สิ่งที่หมิงทำ

หลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เราพายกันต่อระหว่างทาง มีบรรยกาศวิวทิวทัศน์ที่สวยมาก ภูเขาล้อมรอบ นอกจากพายเรือ คายัค ยังมีการลอยห่วงยางไหลตามน้ำไปเรื่อยๆด้วยซึ่งเป็นที่นิยม สำหรับ ชาวต่างชาติฝั่งตะวันตกมากๆ

ด้วยความที่ว่าเราเรือพลิกคว่ำเราจึงต้องพายให้เร็วกว่าคนอื่นเพื่อให้ตามกรุ๊ปทัน. . .

จนถึงปลายทาง เราต้องเดินไปยัง บริษัท ทัวร์ ซึ่งมีระยะทาง ไม่เกิน 1 กม. เพื่อที่จะต่อรถ ไปสู่ Blue Lagoon สถานที่แลนด์มาร์คของวังเวียง ค่าเข้า Blue Lagoon อยู่ที่คนละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท


Blue Lagoon เป็นสถานที่ๆใครก็หวังจะมาโดดน้ำลงบ่อน้ำสีเขียวอมฟ้าน้ำทะเล ผู้คนเยอะมากเมื่อเราไปถึงที่นั่น เราตัดสินใจ ที่จะ.. นั่งดูคน กระโดด น้ำเอาดีกว่า








บรรยากาศสวยงามครับภูแอ่งน้ำสีฟ้าท่ามกลางภูเขา นอกจากการกระโดดน้ำยังมี Zip Line ให้เล่น ซึ่งมันคงแพงเกินไปสำหรับเราในครั้งนี้ 

เรา 5 คนกลับมาถึงที่พัก เพื่อเตรียมตัวย้ายที่พักกันอีกครั้ง ครั้งนี้มาทางตรงกันข้ามกับที่พักเดิมเองครับนั้นคือ
จำปาลาว บังกะโล(Champalao Bungalows) ห้องพักที่นี่มีหลายราคาครับตั้งแต่คืนละ 300 ไปจนถึง หลักพันบาท แต่ พี่เจ้าของที่พักเป็นกันเองและนิสัยดีมากๆ ให้ห้อง คืนละ 300 บาท นอนได้ 3 คน ห้องน้ำรวม
 

เมื่อชำระล้างร่างกายเสร็จ เราก็ออกไปหาอะไรกินกัน การเดินเที่ยวในตัวเมืองวังเวียงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาของกินยามค่ำคืนครับ คึกคักมาก แต่แล้วเราเดินกันอยู่นาน ก็ต้องกลับมาร้านอาหารที่เมื่อตอนเช้าเราได้กินไป เพราะมันใกล้ที่พักและรสชาติดี. .. 

ผมสั่งเบอร์เกอร์ มอส และโจ สั่ง แซนวิส ซึ่งอาหารของที่ลาวไม่เหมือนที่ไหน แน่นอน
ระหว่างที่ยืนรอ. ..มีชาวต่างชาติ(ฝรั่ง)คนนึงเดินเข้ามา ที่ร้านเหมือนว่าจะสั่ง ด้วยความขี้แซว(อีกแล้วสินะ) ก็บอกให้ โจ แนะนำอาหารให้ชาวต่างชาติคนนั้น. . แต่เค้ากลับเป็นคนมาคุยกับผม(โรคกลัวชาวต่างชาติกำเริบอีกครั้ง)

ชาวต่างชาติคนนี้เป็นผู้ชาย สูงล่ำ ขาว เท่ แต่ท่าทางจะ ใกล้เมา. ..
ชาวต่างชาติ : You are here?
หมิง : No I'm thailand.
ชาวต่างชาติ : Wow! where are you come from ?
หมิง : Chiangmai. . (หลังจากนั้นพี่แกรู้ว่าผมมาจากเชียงใหม่เค้าก็เล่ายาวเลยว่าพี่แกเคยไปไทยมา ไป เชียงราย เชียงใหม่ ข้าวสาร พี่แกเค้าเป็นคนเดนมาร์ค ออกเที่ยวสามเดือนแล้ว ทั้งอินเดีย ทิเบต และจะไปเวียดนามและกัมพูชาต่อ เท่าที่แปลได้ ดูพี่แกจะรักเมืองไทยพอสมควร)

เพื่อนผมทั้งสองไม่รู้หายไปตั้งแต่ตอนไหน พอผมหาเจอก็เรียกให้มาช่วยคุยด้วย เพราะตัวผมคนเดียวอาจจะประคองชีวิตกับฝรั่งได้อีกไม่นาน เนื่องจากภาษาอังกฤษนั้น ไม่ได้ เวรี่กู๊ดซักเท่าไหร่

พอรวมตัวกันครบสามคน. ..
ชาวต่างชาติ : The King is he OK ?  is he came out from the hospital ?
เราสามคน : . . .
โจ : He doing well.
ชาวต่างชาติ : He do many thing for thai people.
โจ : Yeah Thai people love him.

การสนทนาโดยบังเอิญในครั้งนี้ไม่คิดเลยว่าหนุ่มต่างชาติคนนี้จะถามคำถามแบบนี้ ทำให้เรา รู้ว่าคนไทยทุกคนโชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทยโดยมีในหลวงคอยดูแลเรามาตลอด แม้กระทั่งชาวต่างชาติยังอิจฉาคนไทย ชาวต่างชาติหลายคนหวังที่จะไปเที่ยวประเทศไทยเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงามไม่น้อยกว่าชาติไหนเลย เราสามคนรู้สึกดีมากที่ ได้รู้ว่าชาวต่างชาติคิดยังไงกับคนไทย และหวังว่าประเทศไทยจะเปนประเทศที่หนุ่มชาวเดนมาร์คคนนี้ชอบที่สุด 

ระหว่างทางเราได้แวะ ซื้อตั๋วจากที่พัก เพราะมีรถทัวร์ ตรงดิ่ง วังเวียงสู่อุดรธาณี ที่ Champa Lao The Villa คนละประมาณ 110,000 กีบ เราเลยต้องรูดบัตร เดบิต เพราะเราใช้งบเกินกว่าที่กำหนดไปนิดหน่อย 
ตั๋ว เดินทางกลับ วังเวียง-อุดรธานี

ตั๋ว เดินทางกลับ วังเวียง-อุดรธานี
หลังจากที่กลับมาถึงที่พักทุกคนก็เตรียมตัวนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า
... .. .
... .. .. .. ... .
... .. ...... ... .. .. .
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" เสียงที่ถูกเคาะจากประตูไม้หน้าห้อง เป็นฝีมือพี่สาวที่ เราร่วมทริปที่วังเวียงด้วย พี่ๆเค้าชวนเราไปดื่มในคืนสุดท้ายก่อนกลับจากประเทศลาวเพราะพี่เค้ามีเหล้าโชจู(เหล้าเกาหลี...ที่ซื้อจากลาว??) ชวนเราสามคนไปกิน ด้วยความที่เป็นเด็กดีจึงตอบปฏิเสธไป. ..
หมิง : กี่โมงละวะ
โจ : สามทุ่มวะ. .. 
ทุกคน : ... .. . ปะ!
สามทุ่มยังคงไม่ใช่เวลานอนของวัยรุ่นยุคนี้ แล้วนี่เป็นคืนสุดท้ายด้วยทำไมจะไม่ใช้เวลาให้คุ้มที่สุด พวกเราสามคน ลงตามพี่ๆทั้งสองเพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยกาศที่ สุดแสนจะสบายปอด.. .

ต้องบอกก่อนอีกว่า พี่ สองคนนี้ มีอะไรที่พิเศษและนึกไม่ถึงมากๆ ตั่งแต่เราเจอครั้งแรกโดยบังเอิญที่สถานีขนส่ง เวียงจันทร์ หลวงพระบาง จน กระทั้งวังเวียง พี่ทั้งสอง เค้าชื่อว่า พี่โบ กับ พี่เบย์ ทั้งสองทำงานอยู่ที่ กรุงเทพ และ ในความคิดผม แม่ง... Backpacker ตัวจริงเลย ผู้หญิง สองคน ในต่างประเทศ โดยไม่ได้วางแผนใดๆ นอกจากการอ่านรีวิว การท่องเที่ยว จากที่ต่างๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพี่ๆเค้า เพราะพี่เค้ามีอายุ. . ....(เป็นเรื่องที่เราสาคนทายกันไม่ถูกเลยทีเดียว)เอาเป็นว่าขอปิดเป็นความลับละกัน เราโชคดีมากในทริปครั้งแรกของปีนี้ ที่ประเดิมมาก็เจออะไรดีๆในสถานที่ดีๆ.. ..(ยินดีที่ได้รู้จัก..พี่เบย์,พี่โบ)...............................พวกเรา กรึ่มๆกันได้ที่เลยละครับ .. .ฝันดี สปป.ลาว

พี่โบ,พี่เบย์
 การเดินทาง มักจะให้อะไรเราเสมอทุกครั้งแม้เราแค่ก้าวออกจากบ้าน คิดดูสิว่าเราออกไปท่องโลกเราจะเจออะไร มากมาย มิตรภาพ ประสบการณ์ชีวิต ความคิดผู้คน ถ้าผมไม่ตัดสินใจ จองตั๋วเครื่องบิน ผมคงไม่ได้เห็นอะไรดีๆแบบนี้  และการอ่านการดูผ่านสื่อต่างๆ ถึงจะทำให้มีแรงบันดาลใจแต่ก็ไม่ได้ให้ประสบการณ์คุณ เพราะฉะนั้น ปิดบล๊อคนี้แล้ว เก็บกระเป๋าออกเดินทางได้แล้วครับ ..แล้วพบกันเมื่อการเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้น
บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล



บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล

บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล

บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล



วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Laos Trip (Luang prabang - Vang Vieng 11-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Luang prabang - Vang Vieng 11-01-58


  • งานนี้นั่งอยู่เฉยๆก็มา
"ชิบหาย 6โมงครึ่งแล้ว" เสียงหนึ่งที่แทรกเข้ามาในหัวจนทำให้ต้องแหวกเปลือกตาหนักๆออก ผมเห็นโจชายหนุ่มร่างเล็กกำลังถือมือถือ บวกกับอาการที่ตกใจสุดๆ. .. .
ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้...ชิบหายเรานัดพี่รถสองแถวไว้นี่หว่า(เมื่อคืนที่ผ่านมาระหว่างที่เราคืนจักรยานเราได้หารถสองแถวที่จะพาเราเข้าไปถึงน้ำตกตาดแส้น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของหลวงพระบางและเรานัดเค้า6โมงเช้า) และเท่านั้นยังซวยไม่พอครับท่านผู้ชม(มาเป็นรายการคุณสรยุทธเลย..มันใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ย!!??) เรายังอดตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำคัญสำหรับที่นี่เลย มาหลวงพระบางแล้วต้องมาเห็นให้ได้แต่เราพลาดไปหมดเพราะการตื่นสาย 

หลังจากที่เราได้รีบทำกิจเสร็จกันทุกคนแล้ว เช็คเอ๊าท์ออกด้วยความเร่งรีบ ยังดีที่รถสองแถวยังรอครับ(ปะงานนี้งานลุยอีกงานแล้วล่ะ) เหตุที่เราต้องรีบเพราะอีกไม่กี่ชมข้างหน้าเราต้องขึ้นรถเดินทางออกจากหลวงพระบางเข้าสู่วังเวียงครับ 

แต่ตอนนี้ เราขอพักโฆษณาซักครู่นะครับ(ไม่ใช่รายการTalk Show!จะเอาฮาไปถึงหน๋ายย) หลังจากที่ออกเดินทางมาได้ซักพัก พี่รถสองแถวแกเลี้ยวเข้าสถานีขนส่งครับ ทำเอาพวกเรางงกันหมด พอจอดปุ๊บพี่แก ก็ ได้ขึ้นมาคุยกับเราว่า...

พี่คนขับรถ : "พวกน้องจะไปกันอยู่มั้ย " พี่คนขับรถอายุน่าจะยี่สิบปลายๆหรือสามสิบต้นๆวัยกำลัง ชอบหนัง fast and furious เลยล่ะผมว่า
พวกเรา : "พี่ว่าเราจะกลับมาทัน8โมงครึ่งมั้ยครับนี่ก็7โมงแล้ว"
พี่คนขับรถ :"ถ้าเอาเร็วๆเลยก็ 20นาที และนี่ฝนมันก็ตกด้วย น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงเลย"
พี่คนขับรถ :"..."
พวกเรา : "...","....",".. .. ..." บทสนทนาเงียบจนได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบกับพื้นดิน
พวกเรา : "ไปเลยครับไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่"
พี่คนขับรถ :"โอเคปะ!"
พวกเรา : "ขอบคุณมากครับพี่" 


จากนั้นเข้าสู่โหมด fast and furious เลยครับ ทั้งหลุม ทั้งฝน ทั้งลม ทั้งหนาว พวกเราสามคนก้มหน้าบุกตะลุย พี่คนขับรถ เค้าสุดยอดมากครับตอบสนองความต้องการเราสุดๆ การเดินทางที่มีรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อมนั้นผมว่านะมันต้องประกอบไปด้วยสุขสบายจนถึงลุยลำบาก ถ้าการเดินทางครั้งไหนขาดช่วงใดช่วงหนึ่งไปผมว่าการเดินทางครั้งนั้นของคุณ..ไม่ครบรส..ครับ 

เราถึงท่าน้ำ ด้วยความเร็ว300กิโลเมตรต่อชั่วโมง(มึงก็เวอร์ไปนะหมิง) ผมไม่รู้เท่าไหร่แต่พี่เค้าทั้งลัดเลาะหมู่บ้านแทรกรถบรรทุกให้เราเพื่อให้เรามาถึงด้วยความเร็วใช้เวลาเพียง 25นาทีเท่านั้นครับ เราสามคนรีบวิ่งลงไปท่าน้ำเพื่อที่จะรีบขึ้นเรือต่อไปถึงน้ำตกตาดแส้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้...

ท่าน้ำยังไม่เปิดครับ เปิด8โมง เราใช้เวลาที่รอเก็บบรรยากาศท่าน้ำ ทุกอย่างสวยมากประกอบกับฝนที่หยุดตกแม่น้ำเล็กไหลผ่านตลอด รอบๆปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เป็นบรรยากาศสวรรค์บนดินเลยก็ว่าได้ครับ 


พอเวลา8โมงเราสามคนค่อยๆประคองตัวเองขึ้นเรือยาวกันทีละคนเพราะด้วยความมั่นคงของเรือเท่ากับ0สำหรับมือใหม่อย่างเรา(แต่ผมว่าเหมาะกับนักกายกรรมที่ต้องฝึกการทรงตัวมากครับลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดู) เรือใช้เวลาราวๆ 5 นาทีจากท่าน้ำอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งครับ พอเราก้าวลงจากเรือ ก็ต้องชำระค่าเดินทางคนละ 10000 กีบ หรือราวๆ 40 บาท สำหรับค่าเดินทางไป-กลับ.. .




วิ่ง ทำเวลาครับ วิ่งเข้าไป.. .ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดีในการเดินทางมาลาวครั้งนี้ครับ ที่จำหน่ายบัตรค่าเข้ายังไม่เปิด เราเลยได้เข้าฟรี!! เหตุเพราะเรามาเป็นเจ้าแรกของวัน(น่าจะมาก่อนเจ้าหน้าที่อีกด้วยซ้ำ) ปกติค่าเข้าประมาณ15,000 กีบต่อคนครับ และยังมีกิจกรรมต่างๆเช่นขี่ช้าง




และเราก็เข้าไปถึงจนได้ น้ำตกตาดแส้ (น้ำตกตาดแส้ (Tadsae Waterfall)  เป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่รายลอบไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ น้ำตกตาดแซ้ จะมีผู้คนทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวออกมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก  การเดินทางห่างออกไปจากหลวงพระบางไม่ไกลนัก ประมาณ 15 กิโลเมตร
ด้วยความโชคดีของเราที่ไม่เสียค่าเข้าแล้วนั้น ยังทำให้การมาน้ำตกครั้งนี้ เป็นการส่วนตัวสุดๆคือยังไม่มีคนซักคนยกเว้น เราสามคน บรรยาศที่ สวยงาม น้ำตกสีเขียวมรกต ไม่แปลกใจเลยที่เป็นแลนด์มาร์คอีกที่หนึ่งของหลวงพระบางแห่งนี้ น้ำที่น่าลงเล่นทำให้การลงทุนเสี่ยงกับเวลามาครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆครับบอกเลยว่าใครมาหลวงพระบางไม่มาถึงน้ำตกตากแส้แล้วจะเสียใจ... .


นั่นแหละนะได้อย่างย่อมเสียอย่าง นาฬิกาเดินไม่เคยคอยใคร ทำให้เรามีเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างได้เพียงแค่ไม่ถึง20นาที พวกเราต้องรีบ กลับกัน และแน่นอนครับ ผมสัญญากับตัวเองว่า ครั้งหน้าผมต้องมาสูดอากาศที่นี่อีกให้นานกว่านี้ให้ได้ 


เราเดินทางข้ามเรือวิ่งขึ้นรถต่อด้วยโหมดรถวิบากบวกกับแข่ง Formula 1 จนมาถึงสถานีขนส่งทันเวลาพอดีเป๊ะ ต้องขอบคุณพี่คนขับรถที่เข้าใจในความอยากเที่ยวของเราครั้งนี้มาก มีไม่มากครับกับการมาลาวครั้งนี้ที่จะได้พบกับคนขับรถสองแถวที่ใจดีและเข้าใจเราได้ขนาดนี้ ค่าใช้บริการ รถสองแถว 150,000 กีบ ประมาณ600บาท


หลังจากที่เก็บประเป๋าใต้ท้องรถยื่นตั๋วให้กับพนักงานเสร็จเรียบร้อย.. .หลังจากที่ขึ้นรถครับแน่นอน โจมอส นั่งด้วยกัน ผมก็เป็นคนที่ต้องนั่งกับคนไม่รู้จักซึ่งโอเคครับ ไม่แย่อย่างที่คิดพี่แกเป็นคนลาว 
อัธยาศัยดี และ เมื่อล้อหมุนการเดินทาง ข้ามวันของเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

เกริ่นนำการเดินทางในวันนี้นิดนึงนะครับว่าเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางเดียวกันกับการเดินทางจาก เวียงจันทร์มาหลวงพระบางแต่ครั้งนี้เดินทางตอนกลางวันครับ

ผมเริ่มหลับตั้งแต่ขึ้นรถเหตุเพราะเหนื่อยจากการออกกำลังกายยามเช้า(แบบจำเป็น) และการนอนตื่นเช้าที่ไม่เคยชิน พอหลับๆตื่นๆได้ซักพัก โจได้ปลุกผมมาดูบางสิ่ง ที่ทำให้ผม ใจสั่นไม่กล้าหลับต่อเลยคือ.. (ผู้หญิงขาวสวยหมวยอึ๋มเธอเดินมาพร้อมกุหลาบแดง...ถะถุ๊ยตื่นๆ!!) จริงแล้วคือ หมอกครับ หมอกหน๋าจนทำให้กระจกนั้นเปียกไปทั่วภายนอกของรถบัส แต่ที่ทำให้หลับไม่ได้เลยคือ ทางกระจกหน้ารถบนรถบัสชั้นสอง นั้น นอกจากหมอก หมอก หมอก ก็...(ก็ยังมีขวัญ และ วิน รวมไปถึงขนมปัง ต้า เต้ย ภู...จะเอาฮาไปถึงไหน ไม่ใช่ ซีรีย์ Hormones ) หมอกครับ ระยะ 3 เมตร จากหน้ารถ ผมมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอกที่ปกคลุมไปทั่วทุกทาง ทำให้ดูเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของวันนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากหมอกแล้วสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในระยะสายตาคือ สาวสองคนที่เราเห็นพวกเธอครั้งแรกที่สถานีรถเวียงจันทร์จนถึงหลวงพระบางและกำลังจะเดินทางไปพร้อมเราที่เวียงจันทร์ ที่ผมเห็นเพราะเธอสองคนไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้แต่นั่งสุดexclusive(ที่จริงก็ที่นั่งเต็มแล้วคงพึ่งขอซื้อเพิ่มแหละนะ อิอิ) นั้นคือพื้นที่ว่างหน้ากระจกรถบัสนั้นเอง

พอบางพื้นที่หมอกเริ่มจางลง สิ่งที่ผมเห็นยิ่งทำให้ผม ไม่คิดว่าผมกำลังมีชีวิตอยู่ นั้นคือ ถนน หรือ การสัญจร ของรถบัสที่นี่. .. ถนน ความกว้างไม่เกินสิบเมตร โค้งทุกยี่สิบเมตร ตลอดเส้นทาง และเลยจากขอบถนนนั้นคือ หุบเขาล้วนๆเลยครับมีเพียงบางพื้นที่ ที่เป็น หมู่บ้านบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ถนนมีขนาดใหญ่ขึ้นเลย ประกอบกับหลุม ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ มาครบ เท่านั้นยังไม่พอ(เสียงแบบ TV Direct) ยังมีรถสิบล้อหรือรถบัสสวนทางมาเป็นระยะๆ ทำให้ทุกๆโค้ง ต้อง มีการดีดแตรเพื่อให้รู้ว่า มีรถกำลังจะโค้งมา เพราะหมอกยังมีอยู่เป็นระยะๆ ให้เราได้ตื่นเต้นอยู่ตลอด (ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เมื่อคืนก่อนที่ผมเดินทางมาจากเวียงจันทร์-หลวงพระบางใช้ถนนเส้นนี้ที่มืดมิด ต้องยอมรับในความเป็นมืออาชีพของคนขับรถที่นี้เลยจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเรายังมีชีวิตอยู่)

หลังจากที่ตกใจกับถนนที่เราใช้เดินทางอยู่ๆรถก็ช้าลง(คิดในใจว่าคงแวะพักให้เราเข้าห้องน้ำ) เปล่าเลยกลับเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุข้างทางรถพลิกคว่ำอยู่ ทำให้การเดินทางบนถนนเส้นนี้ในครั้งนี้ผม ไม่หลับอีกเลย แต่ใช่ว่าจะมีแต่สิ่ง ที่ทำให้เราตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้เรา ยิ้มก็มี กระเป๋ารถ เค้าดูเป็นคนมี อัธยาศัยดีอีกคนนึงเลย ระหว่างเดินทาง พี่แกเปิดคอนเสิร์ตลูกทุ่ง(ขอบอกครับว่าเป็นเพลงไทย วิถีชีวิตคนที่นี่มีไม่น้อยครับที่เหมือนไทยเรามาก)

ขับไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง พวกเราทุกคนบนรถก็ต้อง ออกจากรถมายืนรอข้างล่างครับ เพราะ...รถบัสเราเสีย พี่กระเป๋ารถเค้าก็รีบซ่อมกันอย่างเต็มที่

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีและทำให้ผมได้เห็นว่าข้างนอกนั้นนอกจากความหวาดเสียวแล้วก็ยังสวยงามอีก หมู่บ้านที่ดูเป็นชาวเขาถูกปกคลุมด้วยหมอก พอดูแล้วทำให้ผมลืมเรื่องถนนไปได้เลย อากาศที่หนาวเย็นทำให้เราต้องหาที่หลบหนาวกันซักพัก

พอรถพร้อมใช้งานได้อีกครั้ง ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ.. .ระหว่างทางมีแวะทานข้าวกันครั้งนึง ทานฟรี(เพราะคิดรวมไปกับตั๋วรถแล้ว)การเดินทางจาก หลวงพระบางไปวังเวียงครั้งนี้ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 8 ชั่วโมงครับ แต่ระยะทาง ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร แต่เพราะทางนั้นคดเคี้ยวและเลี้ยวลดเหลือเกิน คือพูดง่ายๆ ว่า นั่งรถทั้งวันเลย พึ่งเข้าใจคำว่า นั่งจนตูดบานก็คราวนี้ 

ก้าวแรกที่เหยียบวังเวียง สถานที่ๆผมBookmark ไว้ตั้งแต่ก่อนมาว่าอยากมามากที่สุด คงเป็นเพราะมีคนรีวิวมาไม่น้อยกับสถานที่แห่งนี้ 

เช่นเคยครับ พวกเราสามคนไม่รู้ว่าจะไปไหนยังไงต่อแต่โชคดีเราไม่ได้เป็นสามคนที่ไม่รู้ไปไหน ผู้หญิงสองคนที่ร่วมเดินทางพร้อมกันโดยบังเอิญก็ดูท่าทางยังไม่รู้ไปไหนเช่นกัน 

พวกเรามีบทสนทนากันเล็กน้อยจนสรุปได้ว่า ไปหาที่พัก ที่เดียวกัน หารค่ารถสอแถวจากสถานีขนส่งไปยังโรงแรม ผู้หญิงสองคนนี้ เป็นรุ่นพี่พวกเราครับ เค้าทำงานกันอยู่ที่กรุงเทพ เป็นนักBackpacker ระดับนึงเลยเพราะเหตุผลที่ว่ามาเที่ยวแค่สองคนเป็นผู้หญิง อีกต่างหาก พวกเราสนิทกันจนผมตั้งตัวไม่ทันเลยครับพวกพี่เค้าเข้ากับคนง่าย มาก 

พอรถสองแถวจอดให้เราลงระยะทางไม่ไกลจากสถานีขนส่งเท่าไหร่ เราก็หาที่พักกัน สำหรับสองคืน แต่ด้วยจำนวนคนที่เที่ยวไม่น้อยเลยสำหรับวังเวียง จึงมีเพียงที่เดียวในระแวกนั้นที่ว่าง และ สำหรับคืนเดียวด้วย

Champa Lao The Villa Vang Vieng, Laos เป็นที่พักสำหรับคืนแรกของเรา บรรยากาศดีมากสำหรับสถานที่ธรรมชาติแห่งนี้ วังเวียงครับ พี่เจ้าของที่พักแกน่ารักมากครับพูดไทยได้ชัดแจ๋วเลยพูดอังกฤษก็คล่องปรื๋อภาษาลาวนี่ไม่ต้องถาม พี่เค้าเป็นคนลาวโดยแท้เลย

พอเราเข้าที่พักจัดแจงกับธุระส่วนตัวกันเสร็จ พวกเราสามคนกับพวกพี่อีกสองคนรวมกันเป็น(เราสองสามคน) ก็เดินหาของกินกันและหาที่พักสำหรับคืนต่อไปด้วย เราเดินออกมาจากที่พักได้ระยะหนึ่ง พวกเราเดินวนไปวนมากันอยู่นานครับ ด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยเหมือนลาวเท่าไหร่เพราะ มีคนต่างชาติเยอะมาก เป็นชาว ฝั่งตะวันตก จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงคนไทย บางทีผมว่ามากกว่าคนลาวอีก ราคาของกินที่นี่ไม่ถูกเลยครับ เหมือนเป็นเมืองท่องเที่ยวดีๆเลย(เทียบๆก็น่าจะเป็นพัทยาบ้านเรา) ราคาข้าวไข่เจียวจานละ 16,000 กีบหรือประมาณ 65 บาท แต่ก็ต้องยอมรับกับราคาที่นี้ พวกเราหนีไม่พ้น ระหว่างทานข้าวก็มีบทสนทนา กันระดับนึง พวกพี่เค้าวัยทำงานกันแล้วแต่หน้าตายังเด็กกันมากทั้งคู่ไม่น่าจะแก่กว่าพวกเราไปซักเท่าไหร่ พวกพี่เค้าเดินทางท่องเที่ยวกันมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในหรือต่างประเทศ ซึ่งนี่แหละจุดหมายในชีวิตของผมอย่างนึงเพราะผมคิดว่าการเดินทางคือประสบการณ์ที่ไม่มีขายที่ไหนแม้แต่ในหนังสือก็ยังไม่สามารถเล่าประสบการณ์เท่ากับเราไปพบกับมันเอง(เช่นเดียวกับที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้)

พอเราทานข้าวเสร็จ เราก็หาบริษัททัวร์ต่างๆ ซึ่งมีไม่น้อยเลยสำหรับที่วังเวียงแห่งนี้ เราเลือกที่จะ เที่ยวแบบ Package Tour แบบ One day trip เพราะสะดวกต่อเราที่มีเวลาจำกัดในการเที่ยวครั้ง นี้ แต่..
นอกจากการซื้อ ทริป แบบนี้ ยังสามารถท่องเที่ยวได้อีกหลายแบบทั้งเช่ารถจักรยานยนต์เที่ยวเองหรือเดินเที่ยวเพื่อเสพบรรยากาศตลอดทั้งเมืองหากมีเวลา 

One day trip ที่เราเลือกได้ คือสามารถเที่ยวในตามจุดต่างๆของวังเวียงได้3จุด นั่นก็คือ ลอยห่วงยางที่ถ้ำน้ำ และ ถ้ำช้าง รวมไปถึง พายเรือคายัก และมีอาหารเที่ยงให้ สำหรับคนที่อยากไป บลูลากูนต้องจ่ายเพิ่มซื้อทริปเสริม เราตกลงกัน ได้รวมถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย. ..

.. .การเดินทางในวันนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยใช้ชีวิตเกือบทั้งวันบนเบาะรถตัวนึงแต่ไม่รู้สึกเสียดายเวลาเลยเพราะตลอดการเดินทางมันมักจะมีอะไรให้เราจดจำอยู่เสมอ ถึงแม้ว่า ณ เวลานั้นจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เป็นไปตามแผนที่คุณวางไว้หรือไม่แต่ทุกๆครั้งที่กลับไปนึกถึงมัน...มันจะวิเศษเสมอ. . .