วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Laos Trip (Luang prabang - Vang Vieng 11-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Luang prabang - Vang Vieng 11-01-58


  • งานนี้นั่งอยู่เฉยๆก็มา
"ชิบหาย 6โมงครึ่งแล้ว" เสียงหนึ่งที่แทรกเข้ามาในหัวจนทำให้ต้องแหวกเปลือกตาหนักๆออก ผมเห็นโจชายหนุ่มร่างเล็กกำลังถือมือถือ บวกกับอาการที่ตกใจสุดๆ. .. .
ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้...ชิบหายเรานัดพี่รถสองแถวไว้นี่หว่า(เมื่อคืนที่ผ่านมาระหว่างที่เราคืนจักรยานเราได้หารถสองแถวที่จะพาเราเข้าไปถึงน้ำตกตาดแส้น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของหลวงพระบางและเรานัดเค้า6โมงเช้า) และเท่านั้นยังซวยไม่พอครับท่านผู้ชม(มาเป็นรายการคุณสรยุทธเลย..มันใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ย!!??) เรายังอดตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำคัญสำหรับที่นี่เลย มาหลวงพระบางแล้วต้องมาเห็นให้ได้แต่เราพลาดไปหมดเพราะการตื่นสาย 

หลังจากที่เราได้รีบทำกิจเสร็จกันทุกคนแล้ว เช็คเอ๊าท์ออกด้วยความเร่งรีบ ยังดีที่รถสองแถวยังรอครับ(ปะงานนี้งานลุยอีกงานแล้วล่ะ) เหตุที่เราต้องรีบเพราะอีกไม่กี่ชมข้างหน้าเราต้องขึ้นรถเดินทางออกจากหลวงพระบางเข้าสู่วังเวียงครับ 

แต่ตอนนี้ เราขอพักโฆษณาซักครู่นะครับ(ไม่ใช่รายการTalk Show!จะเอาฮาไปถึงหน๋ายย) หลังจากที่ออกเดินทางมาได้ซักพัก พี่รถสองแถวแกเลี้ยวเข้าสถานีขนส่งครับ ทำเอาพวกเรางงกันหมด พอจอดปุ๊บพี่แก ก็ ได้ขึ้นมาคุยกับเราว่า...

พี่คนขับรถ : "พวกน้องจะไปกันอยู่มั้ย " พี่คนขับรถอายุน่าจะยี่สิบปลายๆหรือสามสิบต้นๆวัยกำลัง ชอบหนัง fast and furious เลยล่ะผมว่า
พวกเรา : "พี่ว่าเราจะกลับมาทัน8โมงครึ่งมั้ยครับนี่ก็7โมงแล้ว"
พี่คนขับรถ :"ถ้าเอาเร็วๆเลยก็ 20นาที และนี่ฝนมันก็ตกด้วย น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงเลย"
พี่คนขับรถ :"..."
พวกเรา : "...","....",".. .. ..." บทสนทนาเงียบจนได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบกับพื้นดิน
พวกเรา : "ไปเลยครับไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่"
พี่คนขับรถ :"โอเคปะ!"
พวกเรา : "ขอบคุณมากครับพี่" 


จากนั้นเข้าสู่โหมด fast and furious เลยครับ ทั้งหลุม ทั้งฝน ทั้งลม ทั้งหนาว พวกเราสามคนก้มหน้าบุกตะลุย พี่คนขับรถ เค้าสุดยอดมากครับตอบสนองความต้องการเราสุดๆ การเดินทางที่มีรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อมนั้นผมว่านะมันต้องประกอบไปด้วยสุขสบายจนถึงลุยลำบาก ถ้าการเดินทางครั้งไหนขาดช่วงใดช่วงหนึ่งไปผมว่าการเดินทางครั้งนั้นของคุณ..ไม่ครบรส..ครับ 

เราถึงท่าน้ำ ด้วยความเร็ว300กิโลเมตรต่อชั่วโมง(มึงก็เวอร์ไปนะหมิง) ผมไม่รู้เท่าไหร่แต่พี่เค้าทั้งลัดเลาะหมู่บ้านแทรกรถบรรทุกให้เราเพื่อให้เรามาถึงด้วยความเร็วใช้เวลาเพียง 25นาทีเท่านั้นครับ เราสามคนรีบวิ่งลงไปท่าน้ำเพื่อที่จะรีบขึ้นเรือต่อไปถึงน้ำตกตาดแส้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้...

ท่าน้ำยังไม่เปิดครับ เปิด8โมง เราใช้เวลาที่รอเก็บบรรยากาศท่าน้ำ ทุกอย่างสวยมากประกอบกับฝนที่หยุดตกแม่น้ำเล็กไหลผ่านตลอด รอบๆปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เป็นบรรยากาศสวรรค์บนดินเลยก็ว่าได้ครับ 


พอเวลา8โมงเราสามคนค่อยๆประคองตัวเองขึ้นเรือยาวกันทีละคนเพราะด้วยความมั่นคงของเรือเท่ากับ0สำหรับมือใหม่อย่างเรา(แต่ผมว่าเหมาะกับนักกายกรรมที่ต้องฝึกการทรงตัวมากครับลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดู) เรือใช้เวลาราวๆ 5 นาทีจากท่าน้ำอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งครับ พอเราก้าวลงจากเรือ ก็ต้องชำระค่าเดินทางคนละ 10000 กีบ หรือราวๆ 40 บาท สำหรับค่าเดินทางไป-กลับ.. .




วิ่ง ทำเวลาครับ วิ่งเข้าไป.. .ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดีในการเดินทางมาลาวครั้งนี้ครับ ที่จำหน่ายบัตรค่าเข้ายังไม่เปิด เราเลยได้เข้าฟรี!! เหตุเพราะเรามาเป็นเจ้าแรกของวัน(น่าจะมาก่อนเจ้าหน้าที่อีกด้วยซ้ำ) ปกติค่าเข้าประมาณ15,000 กีบต่อคนครับ และยังมีกิจกรรมต่างๆเช่นขี่ช้าง




และเราก็เข้าไปถึงจนได้ น้ำตกตาดแส้ (น้ำตกตาดแส้ (Tadsae Waterfall)  เป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่รายลอบไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ น้ำตกตาดแซ้ จะมีผู้คนทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวออกมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก  การเดินทางห่างออกไปจากหลวงพระบางไม่ไกลนัก ประมาณ 15 กิโลเมตร
ด้วยความโชคดีของเราที่ไม่เสียค่าเข้าแล้วนั้น ยังทำให้การมาน้ำตกครั้งนี้ เป็นการส่วนตัวสุดๆคือยังไม่มีคนซักคนยกเว้น เราสามคน บรรยาศที่ สวยงาม น้ำตกสีเขียวมรกต ไม่แปลกใจเลยที่เป็นแลนด์มาร์คอีกที่หนึ่งของหลวงพระบางแห่งนี้ น้ำที่น่าลงเล่นทำให้การลงทุนเสี่ยงกับเวลามาครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆครับบอกเลยว่าใครมาหลวงพระบางไม่มาถึงน้ำตกตากแส้แล้วจะเสียใจ... .


นั่นแหละนะได้อย่างย่อมเสียอย่าง นาฬิกาเดินไม่เคยคอยใคร ทำให้เรามีเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างได้เพียงแค่ไม่ถึง20นาที พวกเราต้องรีบ กลับกัน และแน่นอนครับ ผมสัญญากับตัวเองว่า ครั้งหน้าผมต้องมาสูดอากาศที่นี่อีกให้นานกว่านี้ให้ได้ 


เราเดินทางข้ามเรือวิ่งขึ้นรถต่อด้วยโหมดรถวิบากบวกกับแข่ง Formula 1 จนมาถึงสถานีขนส่งทันเวลาพอดีเป๊ะ ต้องขอบคุณพี่คนขับรถที่เข้าใจในความอยากเที่ยวของเราครั้งนี้มาก มีไม่มากครับกับการมาลาวครั้งนี้ที่จะได้พบกับคนขับรถสองแถวที่ใจดีและเข้าใจเราได้ขนาดนี้ ค่าใช้บริการ รถสองแถว 150,000 กีบ ประมาณ600บาท


หลังจากที่เก็บประเป๋าใต้ท้องรถยื่นตั๋วให้กับพนักงานเสร็จเรียบร้อย.. .หลังจากที่ขึ้นรถครับแน่นอน โจมอส นั่งด้วยกัน ผมก็เป็นคนที่ต้องนั่งกับคนไม่รู้จักซึ่งโอเคครับ ไม่แย่อย่างที่คิดพี่แกเป็นคนลาว 
อัธยาศัยดี และ เมื่อล้อหมุนการเดินทาง ข้ามวันของเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

เกริ่นนำการเดินทางในวันนี้นิดนึงนะครับว่าเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางเดียวกันกับการเดินทางจาก เวียงจันทร์มาหลวงพระบางแต่ครั้งนี้เดินทางตอนกลางวันครับ

ผมเริ่มหลับตั้งแต่ขึ้นรถเหตุเพราะเหนื่อยจากการออกกำลังกายยามเช้า(แบบจำเป็น) และการนอนตื่นเช้าที่ไม่เคยชิน พอหลับๆตื่นๆได้ซักพัก โจได้ปลุกผมมาดูบางสิ่ง ที่ทำให้ผม ใจสั่นไม่กล้าหลับต่อเลยคือ.. (ผู้หญิงขาวสวยหมวยอึ๋มเธอเดินมาพร้อมกุหลาบแดง...ถะถุ๊ยตื่นๆ!!) จริงแล้วคือ หมอกครับ หมอกหน๋าจนทำให้กระจกนั้นเปียกไปทั่วภายนอกของรถบัส แต่ที่ทำให้หลับไม่ได้เลยคือ ทางกระจกหน้ารถบนรถบัสชั้นสอง นั้น นอกจากหมอก หมอก หมอก ก็...(ก็ยังมีขวัญ และ วิน รวมไปถึงขนมปัง ต้า เต้ย ภู...จะเอาฮาไปถึงไหน ไม่ใช่ ซีรีย์ Hormones ) หมอกครับ ระยะ 3 เมตร จากหน้ารถ ผมมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอกที่ปกคลุมไปทั่วทุกทาง ทำให้ดูเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของวันนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากหมอกแล้วสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในระยะสายตาคือ สาวสองคนที่เราเห็นพวกเธอครั้งแรกที่สถานีรถเวียงจันทร์จนถึงหลวงพระบางและกำลังจะเดินทางไปพร้อมเราที่เวียงจันทร์ ที่ผมเห็นเพราะเธอสองคนไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้แต่นั่งสุดexclusive(ที่จริงก็ที่นั่งเต็มแล้วคงพึ่งขอซื้อเพิ่มแหละนะ อิอิ) นั้นคือพื้นที่ว่างหน้ากระจกรถบัสนั้นเอง

พอบางพื้นที่หมอกเริ่มจางลง สิ่งที่ผมเห็นยิ่งทำให้ผม ไม่คิดว่าผมกำลังมีชีวิตอยู่ นั้นคือ ถนน หรือ การสัญจร ของรถบัสที่นี่. .. ถนน ความกว้างไม่เกินสิบเมตร โค้งทุกยี่สิบเมตร ตลอดเส้นทาง และเลยจากขอบถนนนั้นคือ หุบเขาล้วนๆเลยครับมีเพียงบางพื้นที่ ที่เป็น หมู่บ้านบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ถนนมีขนาดใหญ่ขึ้นเลย ประกอบกับหลุม ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ มาครบ เท่านั้นยังไม่พอ(เสียงแบบ TV Direct) ยังมีรถสิบล้อหรือรถบัสสวนทางมาเป็นระยะๆ ทำให้ทุกๆโค้ง ต้อง มีการดีดแตรเพื่อให้รู้ว่า มีรถกำลังจะโค้งมา เพราะหมอกยังมีอยู่เป็นระยะๆ ให้เราได้ตื่นเต้นอยู่ตลอด (ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เมื่อคืนก่อนที่ผมเดินทางมาจากเวียงจันทร์-หลวงพระบางใช้ถนนเส้นนี้ที่มืดมิด ต้องยอมรับในความเป็นมืออาชีพของคนขับรถที่นี้เลยจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเรายังมีชีวิตอยู่)

หลังจากที่ตกใจกับถนนที่เราใช้เดินทางอยู่ๆรถก็ช้าลง(คิดในใจว่าคงแวะพักให้เราเข้าห้องน้ำ) เปล่าเลยกลับเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุข้างทางรถพลิกคว่ำอยู่ ทำให้การเดินทางบนถนนเส้นนี้ในครั้งนี้ผม ไม่หลับอีกเลย แต่ใช่ว่าจะมีแต่สิ่ง ที่ทำให้เราตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้เรา ยิ้มก็มี กระเป๋ารถ เค้าดูเป็นคนมี อัธยาศัยดีอีกคนนึงเลย ระหว่างเดินทาง พี่แกเปิดคอนเสิร์ตลูกทุ่ง(ขอบอกครับว่าเป็นเพลงไทย วิถีชีวิตคนที่นี่มีไม่น้อยครับที่เหมือนไทยเรามาก)

ขับไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง พวกเราทุกคนบนรถก็ต้อง ออกจากรถมายืนรอข้างล่างครับ เพราะ...รถบัสเราเสีย พี่กระเป๋ารถเค้าก็รีบซ่อมกันอย่างเต็มที่

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีและทำให้ผมได้เห็นว่าข้างนอกนั้นนอกจากความหวาดเสียวแล้วก็ยังสวยงามอีก หมู่บ้านที่ดูเป็นชาวเขาถูกปกคลุมด้วยหมอก พอดูแล้วทำให้ผมลืมเรื่องถนนไปได้เลย อากาศที่หนาวเย็นทำให้เราต้องหาที่หลบหนาวกันซักพัก

พอรถพร้อมใช้งานได้อีกครั้ง ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ.. .ระหว่างทางมีแวะทานข้าวกันครั้งนึง ทานฟรี(เพราะคิดรวมไปกับตั๋วรถแล้ว)การเดินทางจาก หลวงพระบางไปวังเวียงครั้งนี้ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 8 ชั่วโมงครับ แต่ระยะทาง ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร แต่เพราะทางนั้นคดเคี้ยวและเลี้ยวลดเหลือเกิน คือพูดง่ายๆ ว่า นั่งรถทั้งวันเลย พึ่งเข้าใจคำว่า นั่งจนตูดบานก็คราวนี้ 

ก้าวแรกที่เหยียบวังเวียง สถานที่ๆผมBookmark ไว้ตั้งแต่ก่อนมาว่าอยากมามากที่สุด คงเป็นเพราะมีคนรีวิวมาไม่น้อยกับสถานที่แห่งนี้ 

เช่นเคยครับ พวกเราสามคนไม่รู้ว่าจะไปไหนยังไงต่อแต่โชคดีเราไม่ได้เป็นสามคนที่ไม่รู้ไปไหน ผู้หญิงสองคนที่ร่วมเดินทางพร้อมกันโดยบังเอิญก็ดูท่าทางยังไม่รู้ไปไหนเช่นกัน 

พวกเรามีบทสนทนากันเล็กน้อยจนสรุปได้ว่า ไปหาที่พัก ที่เดียวกัน หารค่ารถสอแถวจากสถานีขนส่งไปยังโรงแรม ผู้หญิงสองคนนี้ เป็นรุ่นพี่พวกเราครับ เค้าทำงานกันอยู่ที่กรุงเทพ เป็นนักBackpacker ระดับนึงเลยเพราะเหตุผลที่ว่ามาเที่ยวแค่สองคนเป็นผู้หญิง อีกต่างหาก พวกเราสนิทกันจนผมตั้งตัวไม่ทันเลยครับพวกพี่เค้าเข้ากับคนง่าย มาก 

พอรถสองแถวจอดให้เราลงระยะทางไม่ไกลจากสถานีขนส่งเท่าไหร่ เราก็หาที่พักกัน สำหรับสองคืน แต่ด้วยจำนวนคนที่เที่ยวไม่น้อยเลยสำหรับวังเวียง จึงมีเพียงที่เดียวในระแวกนั้นที่ว่าง และ สำหรับคืนเดียวด้วย

Champa Lao The Villa Vang Vieng, Laos เป็นที่พักสำหรับคืนแรกของเรา บรรยากาศดีมากสำหรับสถานที่ธรรมชาติแห่งนี้ วังเวียงครับ พี่เจ้าของที่พักแกน่ารักมากครับพูดไทยได้ชัดแจ๋วเลยพูดอังกฤษก็คล่องปรื๋อภาษาลาวนี่ไม่ต้องถาม พี่เค้าเป็นคนลาวโดยแท้เลย

พอเราเข้าที่พักจัดแจงกับธุระส่วนตัวกันเสร็จ พวกเราสามคนกับพวกพี่อีกสองคนรวมกันเป็น(เราสองสามคน) ก็เดินหาของกินกันและหาที่พักสำหรับคืนต่อไปด้วย เราเดินออกมาจากที่พักได้ระยะหนึ่ง พวกเราเดินวนไปวนมากันอยู่นานครับ ด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยเหมือนลาวเท่าไหร่เพราะ มีคนต่างชาติเยอะมาก เป็นชาว ฝั่งตะวันตก จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงคนไทย บางทีผมว่ามากกว่าคนลาวอีก ราคาของกินที่นี่ไม่ถูกเลยครับ เหมือนเป็นเมืองท่องเที่ยวดีๆเลย(เทียบๆก็น่าจะเป็นพัทยาบ้านเรา) ราคาข้าวไข่เจียวจานละ 16,000 กีบหรือประมาณ 65 บาท แต่ก็ต้องยอมรับกับราคาที่นี้ พวกเราหนีไม่พ้น ระหว่างทานข้าวก็มีบทสนทนา กันระดับนึง พวกพี่เค้าวัยทำงานกันแล้วแต่หน้าตายังเด็กกันมากทั้งคู่ไม่น่าจะแก่กว่าพวกเราไปซักเท่าไหร่ พวกพี่เค้าเดินทางท่องเที่ยวกันมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในหรือต่างประเทศ ซึ่งนี่แหละจุดหมายในชีวิตของผมอย่างนึงเพราะผมคิดว่าการเดินทางคือประสบการณ์ที่ไม่มีขายที่ไหนแม้แต่ในหนังสือก็ยังไม่สามารถเล่าประสบการณ์เท่ากับเราไปพบกับมันเอง(เช่นเดียวกับที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้)

พอเราทานข้าวเสร็จ เราก็หาบริษัททัวร์ต่างๆ ซึ่งมีไม่น้อยเลยสำหรับที่วังเวียงแห่งนี้ เราเลือกที่จะ เที่ยวแบบ Package Tour แบบ One day trip เพราะสะดวกต่อเราที่มีเวลาจำกัดในการเที่ยวครั้ง นี้ แต่..
นอกจากการซื้อ ทริป แบบนี้ ยังสามารถท่องเที่ยวได้อีกหลายแบบทั้งเช่ารถจักรยานยนต์เที่ยวเองหรือเดินเที่ยวเพื่อเสพบรรยากาศตลอดทั้งเมืองหากมีเวลา 

One day trip ที่เราเลือกได้ คือสามารถเที่ยวในตามจุดต่างๆของวังเวียงได้3จุด นั่นก็คือ ลอยห่วงยางที่ถ้ำน้ำ และ ถ้ำช้าง รวมไปถึง พายเรือคายัก และมีอาหารเที่ยงให้ สำหรับคนที่อยากไป บลูลากูนต้องจ่ายเพิ่มซื้อทริปเสริม เราตกลงกัน ได้รวมถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย. ..

.. .การเดินทางในวันนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยใช้ชีวิตเกือบทั้งวันบนเบาะรถตัวนึงแต่ไม่รู้สึกเสียดายเวลาเลยเพราะตลอดการเดินทางมันมักจะมีอะไรให้เราจดจำอยู่เสมอ ถึงแม้ว่า ณ เวลานั้นจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เป็นไปตามแผนที่คุณวางไว้หรือไม่แต่ทุกๆครั้งที่กลับไปนึกถึงมัน...มันจะวิเศษเสมอ. . .

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ROAMING Laos Trip (Luang prabang 10-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Luang prabang 10-01-58

  • งานปั่นก็มา
      o0Oการนอนในผ้าห่มอุ่นๆและเปิดแอร์18องศานี้มันชั่งดีจริงๆ ... .ทำไมมันเริ่มหนาวขึ้นทุกทีๆ.. .. .!!! เฮ้ยมันไม่ใช่นี่หว่า เรานอนอยู่บนรถนอนหนิ! กี่โมงแล้ว? พอผมหันมองไปเห็นนาฬิกาดิจิตอล บนหัวรถบัสมันแสดงเวลา 4:30 am และผมก็พยายามลืมตาที่มีความหนักมหาศาลมองไปทางกระจกอีกครั้งปรากฎว่ารถทั้งคันถูกปกคลุมไปด้วยไอความเย็นจากข้างนอกรถ ไม่แปลกที่จะหนาวขนาดนี้ อากาศที่หนาวจนทำให้ผ้าห่มบางๆที่มีความหนาเท่าเสื้อยืดหนึ่งตัวนั้นแทบไม่ได้มีผลอะไรกับผมเลย ระหว่างนั้นผมหลับๆตื่นๆ อยู่หลายรอบ จนกระทั่งรถจอดสนิท.. .

อากาศที่หนาวจนเข้ากระดูกทำให้กว่าจะออกจากรถบัสนอนนั้นได้จึงใช้เวลาซักพักนึงเลย พอเราได้ของกันครบสามคนแล้วก็เดินมาตรงสถานีขนส่ง หลวงพระบาง อากาศในตอนนั้น ผมทายว่าน่าจะเลขหลักหน่วยได้เลยเพราะ หมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ระยะ 30-40เมตรก็ไม่สามารถมองเห็นได้แล้วประกอบกับฝนที่ตกลงมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสายไม่แปลกที่จะทำให้การพูดทุกประโยคของพวกเรานั้น มีไอหนาว ออกมาแบบ ไม่ต้องเกร็งความอุ่นจากภายในปอดเพื่อให้มีไอเลย 

เราสามคน งุนงง กับอากาศ กับอาการ จากการตื่นนอนที่ไม่เต็มอิ่ม ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ จนเหลือบไปเห็นผู้หญิงสองคน ที่เรา ได้ทำความรู้จักแบบคร่าวๆแล้วว่า เป็นคนไทย... (เนื่องจากก่อนหน้าที่เราจะขึ้นรถบัสนอน สายวังเวียง-หลวงพระบางนั้น ผู้หญิงสองคนนั้นก็ยืนรอเพื่อที่จะขึ้นรถคันเดียวกันเช่นกัน เพราะอะไรเราถึงรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นเป็นคนไทยน่ะหรอ...ก็เพราะซิมที่เราซื้อมานั้นยังใช้ไม่ได้น่ะสิ...เดินถามคนลาวมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คนจนมาถึงผู้หญิงสองคนนี้ คำตอบก็เช่นเดิม ไม่มีใครรู้เลย เราตั้งใจรีบซื้อซิมเพราะเพื่อที่จะใช้บนรถนอนแต่สุดท้ายก็อด และจำใจ นอน )

ดูท่าทางเค้าจะมีแพลนของเค้าสองคนแล้วเพราะจากเรามองได้ไม่นานสองคนนั้นก็ขึ้นรถสองแถวไปเรียบร้อย 
หลังจากมีเวลาให้สมองได้ฟื้นตัว เราก็ตัดสินใจ ซื้อตั๋วรถ เดินทางไปวังเวียง สำหรับ พรุ่งนี้เช้าเลย เพราะกลัวว่าสถานีขนส่งจะไกลจากตัวเมือง (ค่าตั๋วรถเดินทาง หลวงพระบาง-วังเวียง 105,000กีบ หรือประมาณ 430 บาทไทยถ้วน )
เมื่อเราได้เอาแบงค์ราคาแสนกว่าๆแลกกับเครื่องรับประกันว่าเรามีรถไปวังเวียงต่อแน่นอน แล้ว แผนต่อไปคือการหารถเข้าเมือง พวกเราลังเลกันอยู่นานว่าจะเดินหรือนั่งรถสองแถวไปดี สุดท้ายเราตัดสินใจที่จะนั่งรถเพราะบรรยกาศที่ไม่เอื้ออำนวยเอาซะเลย โดนกันไปคนละ 15,000 กีบ ประมาณ 60 บาท สามคนก็ 45,000 กีบ เพราะพี่สองแถวแกขับมาส่งถึงใจกลางเมืองหลวงพระบาง แล้วก็ถึงเวลาลุยอากาศหนาว ตามหาที่พัก พอเดินกันมาได้ซักพักหลังจากที่เจอป้ายเต็มมาได้สองสามที่ เราก็ได้ที่พัก ที่มีราคาเป็นที่น่าพอใจ คือ 130,000 กีบ ประมาณ 420 บาท เท่านั้น
หลังจากเข้าที่พัก อาบน้ำกันเสร็จใช่ว่าจะเฮฮาปาร์ตี้ออกไปทัวร์เมืองโบราณเก่าแก่สไตล์ฝรั่งเศสได้เลยนะครับ
ฝนที่เป็นอุปสรรคตั้งแต่เข้าเขตแดนหลวงพระบางนั้นก็ยังไม่เข้าใจหัวอกนักเดินทางที่มีเวลาจำกัดเลย 

เราสามคนทนกันได้ไม่นาน ตัดสินใจเดินออกจากที่พัก เริ่มต้นกันที่ ตลาดซ้าว (ตลาดเช้าหลวงพระบาง "สีสันยามเช้าในเมืองหลวงพระบาง" เป็นตลาดที่ชาวหลวงพระบางนำผลิตผลการเกษตรมาวางขายตามถนนเลียบแม่น้ำโขง เช่น ของป่า ผัก ที่หามาได้ มาวางขายกัน และโดยเฉพาะปลาแม่น้ำโขง ซึ่งมีอยู่มากมายเนื่องจากหลวงพระบางเป็นเมืองที่ติดกับแม่น้ำโขงดังนั้น ปลาที่ตลาดเช้าหลวงพระบางจะสดใหม่มาก ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจะติดตลาดขายของกันแต่เช้ามืด 

เราสามคนเดินลัดเลาะกันไปจนถึงอีกฝั่งก็ยังไม่รู้จะไปไหนเราเลยตัดสินใจจะไปร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากจากการรีวิวหลวงพระบาง เราเดินตามหากันอยู่ซักพักนึง...จึงรู้ว่ามันเลยที่พักเรามาแค่ไม่ถึง 100 เมตรเท่านั้น (เดินอ้อมไปซะไกลเลยเว้ย)

"กาแฟประชานิยม ที่นี่แหละ" (กาแฟประชานิยมหลวงพระบาง) "เข้มข้นสไตล์กาแฟแท้ของลาว"
ร้านกาแฟประชานิยมหลวงพระบางเป็นเพิงอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ ติดถนนเลียบแม่น้ำโขงซึ่งเป็นท่าเรือข้ามฟากไปยังเมืองเชียงแมน ร้านมี กาแฟลาว ขนมคู่(ปาท่องโก๋) สำหรับคอกาแฟที่อยากลิ้มลองกาแฟลาว จากเมืองปากซองต้องมาที่นี่ เพราะเจ้าของเขาใช้กาแฟคั่วบดซึ่งสั่งตรงมาจากภาคใต้ของลาวเลยทีเดียว ) เสียงในหัวดังขึ้นจนต้องพูดออกมา พอจับจองที่นั่งของใครของมันได้ เราก็ระดมสั่ง ข้าวต้ม กาแฟ ไข่ลวก และหยิบปาท่องโก๋ กันใหญ่เลย พอกินกันเสร็จ สรุป กาแฟที่สั่งก็ยังไม่ได้ ประกอบกับท้องที่เริ่มอยู่ตัวแล้วเลยยกเลิกกาแฟไป เพราะยังไงพรุ่งนี้เช้าก็ต้องมากินอยู่แล้วก่อนกลับ หมดกันไปหมื่นกว่ากีบ เท่านั้นเองครับ สำหรับมื้อเช้าหนักๆของเราวันนี้....

หลังจากที่เราสามคนเติมพลังกันแล้วก็ถึงเวลา หาจักรยาน เพื่อปั่นเที่ยวรอบเมืองอีกครั้ง ไม่เดินแล้ว ปวดไปทั้งเท้าเลย!! เราได้มาเจอร้านนึงครับ ราคาจักรยานราคาไม่แพงมากเกินไป 20,000 กีบ หรือราวๆ 80 บาท ต่อคัน เช่าตอนนี้ คืนอีกทีสองทุ่ม พร้อมรับพาสปอร์ตคืน
 เราตกลง แล้วนำยานพาหนะคู่กาย ออกเดินทางลุยฝนที่ยังตกลงมาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เราก็ไม่ยอมแพ้เวลามีจำกัดแต่ใจมีไม่จำกัดเว้ยย !! เราปั่น ชม ปั่น ลุย กันมาหลายวัด ชิมกาแฟ เล่น WIFI กันจนได้ที่ ก็ถึงสถานที่ ที่ถือว่าเป็น แลนด์มาร์ค ที่ดังเป็นอันดับต้นๆของหลวงพระบางกันเลยก็ว่าได้ นั้นคือ... .

วัดเชียงทอง ( ວັດຊຽງທອງ วัดเซียงทอง นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและงดงามที่นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสและชื่นชมมากที่สุดเมื่อเดินทางมาถึงหลวงพระบาง ซึ่งความงดงามและทรงคุณค่าของวัดเชียงทองได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็น "ดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว" เลยทีเดียว) เป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างมาก และที่สำคัญ เสียค่าเข้าชม อีกคนละ 20,000 กีบ...ไม่ใช่ว่าจะมาทุกวันซักหน่อย จับจ่ายกันเลยทีเดียว เราเดินชมวัดที่สวยงาม ฝีมือในการสร้างวัดนั้นมือหนึ่งเลย ทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายเงินสองหมื่นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่รู้สึกว่า ได้เสพบรรยกาศของวัดมาได้ซักพักแล้วถึงเวลาปั่นๆ ปั่น ปั่นๆ รอบเมือง กันต่อ... .

ในบรรยกาศอันหนาวเหน็บประกอบกับฝนปอยๆที่ตกมาอยู่เรื่อยๆ และ สถาปัตยกรรม โบราณ สไตล์ฝรั่งเศส นั้น ทำให้เหมือนว่าเรากำลังดื่มด่ำกับบรรยกาศในแถบทวีบยุโรปเลยก็ว่าได้ สวยงามมากๆ ทำให้หลงใหลในเสน่ห์ของหลวงพระบางในรูปแบบที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัส
หลังจากตัวชุ่มกันพอตัวแล้วเราก็ปั่นเข้าที่พักกันต่อหลังจากล๊อคจักรยานเป็นที่เรียบร้อย นึกว่าจะได้อาบน้ำนอนเล่นเอาแรง พนักงานที่พัก บอกว่า นอนสามคนต้องเพิ่ม เงินอีก50,000กีบ สำหรับคนที่สาม ไหนๆก็ไหนๆ ก็จ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่เราทำอะไรเสร็จแล้วก็พร้อมที่จะลุยกันอีกรอบแต่ครั้งนี้โหดกว่าที่คิดไว้เยอะ เราคิดกันว่าจะปั่นจักรยานเป็นระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเพื่อไปถึง...น้ำตกตาดแส้. ...

ปั่นสิครับ งานนี้ มีแต่ ปั่นๆ ปั่น เราปั่นตามแผนที่ที่โจแนะนำเรามา ลุย ปั่น ปั่ น ปั่ น ปั่  น ปั่   น ปั่       น ปั่      น น น น น เราสามคนปั่นกันจนแทบจะหมดแรง ผมตัดสินใจ ถามป้าที่ขายของชำอยู่ข้างทางว่า น้ำตก ตาดแส้ อีกไกลมั้ย เพราะเรารู้สึกว่าเราปั่นกันมาไกลมาก คำตอบที่ได้จากป้าคือ....
"อีก12กิโล" ความคิดที่มีแตกสลายทันทีเพราะทางที่ปั่นนั้นชันขึ้นทุกที เราตัดสินใจกลับกันไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเหมารถสองแถวกันไปแล้วกัน ล้าไปหมดทั้งตัวแล้ว

หลังจากที่เราได้ออกกำลังกายสำหรับวันใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย(ซะที่ไหนเล๊าาาว์) เราเดินทางปั่นกลับ..ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดครับ งานหลงทางก็มา หลังจากที่ปั่นกลับกันเข้าใจว่ามาถูกทางจนสังเกตได้ว่าทางไม่คุ้น เอาละไงครับ ระยะทางไกลขึ้นเรื่อยๆเลย จนเข้าใจว่า "พวกเราหลงแล้วล่ะ"

ความโชคดีในความโชคร้ายครับถึงจะหลงทางแต่อย่างน้อยเราได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น บ้านเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างดีมีแม่น้ำคานล้อมรอบเมืองทำให้เมืองนี้ไม่มีที่ติเลยสำหรับผม ถึงมันจะไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ แต่ทุกๆครั้งที่ผมเดินทาง ในการเดินทางที่แบบไม่ได้วางแผนไว้ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็น

ปั่นจนเราคุ้นทาง....กลับถึงที่พัก...ชำระล้างร่างกายกันเรียบร้อย..เราเดินทางไปคืนจักรยาน ในความโชคดีของเราอีกเรื่องร้านที่เช่าจักรยานของเราคือที่เดียวกับ ตลาดมืด("ตลาดมืด" หรือเรียกแบบภาษาไทยว่า "ตลาดค่ำ" จัดในลักษณะถนนคนเดิน ปิดถนน รถวิ่งเข้าไม่ได้ เข้าได้เฉพาะคนและจักรยานเท่านั้น )
เราตัดสินใจ หาอะไรกินไปด้วยเลย ตลาดมืดขายของคล้ายประเทศไทยทางภาคเหนือกับภาคอีสานเลยครับของที่เป็นเอกลักษณ์ของลาวเองก็มีครับเหมาะสำหรับซื้อไปฝากเพื่อนๆแต่พวกเราไม่ได้ติดตัวกันมาซักชิ้น..เหตุเพราะการคลังของแต่ละคนเริ่มจะต้องถึงเวลาคิดคำนวนเงินซื้อของกันแล้ว เดินไปได้ไม่ไกลมากพวกเราตัดสินใจหาร้านกินข้าวกันครับ เดิน เดิน เดิ น เดิ  นน

"เฮ้ยเจอเงินตก"ต้นเสียงคือโจ ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแต่จริง! จริง แห่งความจริง
"100,000 กีบ เลย" หลังจากที่เราตกลงแสดงความเป็นเจ้าของ กับ ธนบัตรใบนั้นแล้ว เราไม่ลังเลที่จะนำเงินจำนวนนี้ไปครุ่นคิดในร้านกาแฟ JOMA (ร้านกาแฟ JOMA มีชื่อเสียงในระดับนึงของประเทศลาวเพราะมีอยู่แทบทุกเมืองของประเทศนี้เทียบๆก็น่าจะเท่า กาแฟ amazon แต่ไม่ได้อยู่ในปั้มน้ำมัน)        ขอบอกเลยครับว่าอร่อยฝุดๆไม่ว่าจะเป็นกาแฟ น้ำปั่น นม พวกเราสามคนลองกันหมด ราคาแต่ละแก้ว ก็มี 15,000 กีบ จนไปถึง 25,000 กีบ กันเลย






พวกเราเหลือเงินอยู่จำนวนนึงจากความโชคดีของโจเราตัดสินใจลองกินหมูกระทะ ลาว กันดูเปรียบเทียบความแตกต่าง สิ่งที่แตกต่างคือ มีเนื้อควาย และ น้ำจิ้มที่แสนอร่อย ของร้านนั้น ผมไม่ชำนาญทางด้านน้ำจิ้ม แต่ที่ลิ้นรับรสได้นั้น บอกได้ แค่ว่า "อร่อย" เราเสียค่าหมูกระทะเมืองลาว 60,000 กีบ ตกคนละ 245 บาท


พอกินกันเสร็จเราเพิ่มเงินกันอีกคนละนิดหน่อย หลังจากที่แชร์จากเงินที่เก็บได้ และเดินทางกลับที่พักแต่พวกเราก็ไม่ลืม ที่จะลิ้มรสเบียร์ลาวอีกแบบที่ไม่ค่อยเห็นขายในประเทศไทย คือ  Beer Lao Dark
รสชาติเข้มกว่าครับ เหมาะสำหรับสายแข็ง หลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันก็ถึงเวลา พักผ่อน...ขนาดนอนอยู่ในห้อง พูดกันไอความเย็นยังออกจากปากเราไม่หยุดเลยครับ(หวังว่านอนครั้งนี้จะไม่มีเสียง ปั้ง...นะ)