วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

Laos Trip (Vang Vieng 12-01-58)

ROAMMING 


Laos Trip Vang Vieng 12-01-58


  • วันแห่งความท้าทาย
    เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ...หลายคนคงได้ยินคำนี้บ่อยจนคุ้นชิน..ซึ่งมันมักจะเป็นความจริงซะด้วย.. . แต่พึ่งจะผ่านความสุขแบบเรียบๆไปเท่านั้นเมื่อเทียบกับวันนี้ วันแห่งความท้าทาย. .. ..
เช้าเจ็ดโมงของวันที่5ของการท่องเที่ยวลาว อากาศที่บริสุทธิ์ที่อยากจะสูดเอาไว้ให้เต็มปอด.. เหตุที่เราสามคนต้องตื่นเช้าขนาดนี้เป็นเพราะว่า อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าเป็นเวลา แห่งการผจญภัยแล้วละครับ ก่อนที่จะลุย One day trip ที่เราได้ซื้อไว้ไปเมื่อวาน เราก็ขอแวะเติมพลังกับร้านอาหารก่อนครับ ร้านนี้มีรสชาติใช้ได้เลยทีเดียวและนิสัยที่น่ารักของเจ้าของร้านทำให้เรานั้นอยากกลับไปกินอีก

ระหว่างรอมื้อเช้า
โคตรน่ากิน(อร่อยด้วย)
8 โมงเช้ารถออกเดินทางจากหน้าบริษัทท่องเที่ยว เราเดินทาง โดยใช้ สองแถวเล็ก ออกไปทางนอกเมือง ลุยป่า ลุยโคลน ไปประมาณ 30นาที ก็จะถึงจุดหมายแรก ถ้ำรอด ลอยห่วงยาง (ต้องบอกก่อนว่าวังเวียง ถ้าจะให้เปรียบ ผู้คน ก็คล้ายพัทยาบ้านเรา เพราะว่าด้วยความที่ สถานที่แต่ละที่เที่ยวนั้น แทบจะไม่มีคนลาวเลย ส่วนใหญ่ คือคนเกาหลี รองลงมาคือ คนฝั่งตะวันตก และ คนไทยก็ไม่น้อยเหมือนกัน ในกรุ๊ป ทัวร์ ครั้งนี้ของผมก็มีคนไทยร่วมด้วย นอกจากพี่สองคนที่เราเจอเมื่อวาน)
หลังจากลงรถสองแถวเล็ก เราต้องเดิน เข้าไปต่อ อีกประมาณ 1-2 กม. เพื่อไปถึงถ้ำจัง ต่อคิวเพื่อที่จะ นั่งห่วงยางลอดเข้าไปในถ้ำน้ำ ดูหินงอกหินย้อยกันครับ
หลังจากที่รอมาได้ซักพักเนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก ก็ถึงคิวของพวกเรา ต่างคนต่างได้ อาวุธ(ห่วงยาง และ ไฟส่องกบ)ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ก็เกาะ เชือกไหล ตามน้ำไปเรื่อยๆ ข้างในมืดและยาวมาก ระหว่างทาง ก็มีคนสวนออกมาทางปากถ้ำเช่นกัน และ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น. .
เย็นตูดทุกคน

"ตู้มๆ ซ่าๆ ฮ่าๆ ฮิ้วๆๆ . . " ผมอยากให้เสียงที่ผมเขียนออกมาในแง่ดีแต่ความเป็นจริงแล้วจากอากาศที่หนาวจนเท้าแทบจะเป็นตะคริวแล้วนั้น ยังต้องโดน กลุ่มที่สวนออกไปดีดน้ำใส่ จากทางด้านหลัง(นี่มันโดนต่อยฝ่ายเดียวเลยนี่หว่า.. )หลังจากเข้ากันไปลึก เรื่อยๆ มีช่วงให้ออกจากห่วงยางมาเดิน เดินแล้วก็นั่งต่อ อากาศหนาวมากเปียกไปทั้งตัว .. พอถึงปลายทาง แล้วก็ต้องวนกลับทางเดิมอีกครั้งครับ. ..นั้นแหละครับอย่างที่ทุกคนคิดไว้ เราเอาคืนกลุ่มที่เข้ามาแบบที่เราเคยโดน เท้าใครเร็วใครได้ เตะน้ำมันเข้าไป ฮ่าๆ มันส์จริงๆเว้ย ย. ..จนเรา ออกมาข้างนอกปากถ้ำ. . .น้ำ .. .ไหนอะหินงอกหินย้อย. ... ฮ่าๆ ถึงเราไม่ได้ ดู กันแบบ ตั้งใจแต่อย่างน้อยที่เรารู้ก็คือ สนุกและหนาวมากครับ.  .

ช่วงพักให้ตัวแห้ง ทางทริปมีอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้เราเติมพลังเรา 5 คนเหมือนชนกลุ่มน้อยเลยเมื่อเทียบกับชาวเกาหลีที่อยู่ที่นี่

รู้นะคิดไร
นึกว่า ประเทศเกาหลี

ช้างปะละ

หลังจากถ้ำน้ำแล้วเราเดินออกมาปากทางก่อนถึงรถ เรามีถ้ำจัง(ถ้ำช้าง) ให้ได้ชมก่อน ด้วยครับ ด้วยหินย้อยที่มี รูปลักษณะ คล้ายช้างจึงทำให้ที่นี่มีชื่อว่าถ้ำช้างแต่ได้เรียกกันไปเรื่อยๆ จนถึงหูคนไทยว่าถ้ำจัง

เราขึ้นรถออกมา ทางต้นน้ำของแม่น้ำซอง อีกซักประมาณ10นาที เพื่อที่จะมาพายเรือคายัค เรามีพี่ไกด์แนะนำอุปกรณ์และวิธีการพายเรือ และเลือกเสื้อชูชีพ เป็นที่เรียบร้อย เราสามคนขึ้นเรือ ลำเดียวกันส่วน พี่สาวทั้งสอง ก็พายเรือคายัคอีกลำ 


เมื่อปล่อยตัวออกจากท่า ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่ดูแลตัวเองหลังจากนี้ ระยะทางประมาณ 5 กม. จากที่พี่ไกด์ได้บอกเราไว้ เราใช้เวลากันซักพักกว่าจะคุ้นชินกับไม้พายและเรือ พายมาได้ซักพักก็มีบาร์ให้แวะเที่ยวชมดื่ม กินเบียร์ลาว 20 นาที ครับ บรรยกาศดีติดริมน้ำ เห็นเรือและห่วงยางลอยผ่านไปทีละลำๆ  หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ

ด้วยความที่เป็นคนขี้แซว(กวนตีน) ก็แซวพี่ๆทั้งสองที่มาพร้อมกับเรา เพราะดูท่าพี่เค้าทั้งสอง จะยัง งง กับการควบคุมเรือ และเราได้พายแซงมา จนกระทั้ง. . ...


ทางข้างหน้าเริ่มเป็นน้ำเชี่ยว จึงต้องตามลาย คนข้างหน้าไว้ แต่. ..

"ครืดดด. . . ." เสียงดังมาจากใต้ท้องเรือ ประกอบกับ ทำให้เรือหยุดนิ่งไปด้วย เราสามคน งง และขยับตัวเผื่อเรือจะไหลต่อแต่ไม่เป็นผล จนมีไกด์ คนนึง พายผ่านมา เค้าบอกให้คนหลังสุดลงมาเหยียบหินเพื่อดันเรือนั้นคือเป็นใครไม่ได้นอกจากผม. .. 

ผมก้าวเท้าออกจากเรือแล้วเอาตัวเองออกมาจากเรือ และ ขยับเพียงเล็กน้อย เรือก็ขยับ แต่ด้วยกระแสน้ำที่ทำให้เรือนั้นไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผมต้องดึงเรือไว้ที่บรรทุกผู้ชายสองคนไว้บนเรือ ผมเลยก้าวเท้าเหยียบไปบนเรือทันใดนั้น. . .

"โครมมม มม ม มม. . ." เรือพลิกคว่ำข้าวของกระจายรวมถึงเพื่อนผมทั้งสอง ด้วยความลึกของน้ำนั้นไม่ได้ลึกมาก และ ทุกอย่างกำลังจะลอยไปตามน้ำ ผม กระโดดหยิบสิ่งของทีละอย่าง รวมถึงพลิกเรือให้กลับมาหงาย . . จนเก็บของได้ทั้งหมดผมก็ลอยมาจากจุด เรือล่ม ได้ประมาณร้อยเมตร แต่เมื่อผมหันกลับไปดูเพื่อน เพื่อนทั้งสองกำลังยืน ติดเกาะ (หินที่เรือติด) รอความช่วยเหลือ (นี่กูเก็บคนเดียวหมดเลยหรอวะเนี่ย. . ) เท่านั้นยังไม่พอ ยัง Selfie กันด้วย ..
สิ่งที่มอสกับโจทำ
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจพายเรือทวนน้ำเพื่อกลับไปรับเพื่อน(ที่กำลัง Selfie) จนกระทั้ง...

"พายอย่างงั้นวันนี้ก็ไม่ถึง" เสียงพี่ไกด์ ของ เรา ตะโกนแนะนำให้ผม พายมาข้างแม่น้ำรวมถึงเพื่อนทั้งสองให้เดินมาข้างแม่น้ำ
สิ่งที่หมิงทำ

หลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เราพายกันต่อระหว่างทาง มีบรรยกาศวิวทิวทัศน์ที่สวยมาก ภูเขาล้อมรอบ นอกจากพายเรือ คายัค ยังมีการลอยห่วงยางไหลตามน้ำไปเรื่อยๆด้วยซึ่งเป็นที่นิยม สำหรับ ชาวต่างชาติฝั่งตะวันตกมากๆ

ด้วยความที่ว่าเราเรือพลิกคว่ำเราจึงต้องพายให้เร็วกว่าคนอื่นเพื่อให้ตามกรุ๊ปทัน. . .

จนถึงปลายทาง เราต้องเดินไปยัง บริษัท ทัวร์ ซึ่งมีระยะทาง ไม่เกิน 1 กม. เพื่อที่จะต่อรถ ไปสู่ Blue Lagoon สถานที่แลนด์มาร์คของวังเวียง ค่าเข้า Blue Lagoon อยู่ที่คนละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท


Blue Lagoon เป็นสถานที่ๆใครก็หวังจะมาโดดน้ำลงบ่อน้ำสีเขียวอมฟ้าน้ำทะเล ผู้คนเยอะมากเมื่อเราไปถึงที่นั่น เราตัดสินใจ ที่จะ.. นั่งดูคน กระโดด น้ำเอาดีกว่า








บรรยากาศสวยงามครับภูแอ่งน้ำสีฟ้าท่ามกลางภูเขา นอกจากการกระโดดน้ำยังมี Zip Line ให้เล่น ซึ่งมันคงแพงเกินไปสำหรับเราในครั้งนี้ 

เรา 5 คนกลับมาถึงที่พัก เพื่อเตรียมตัวย้ายที่พักกันอีกครั้ง ครั้งนี้มาทางตรงกันข้ามกับที่พักเดิมเองครับนั้นคือ
จำปาลาว บังกะโล(Champalao Bungalows) ห้องพักที่นี่มีหลายราคาครับตั้งแต่คืนละ 300 ไปจนถึง หลักพันบาท แต่ พี่เจ้าของที่พักเป็นกันเองและนิสัยดีมากๆ ให้ห้อง คืนละ 300 บาท นอนได้ 3 คน ห้องน้ำรวม
 

เมื่อชำระล้างร่างกายเสร็จ เราก็ออกไปหาอะไรกินกัน การเดินเที่ยวในตัวเมืองวังเวียงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาของกินยามค่ำคืนครับ คึกคักมาก แต่แล้วเราเดินกันอยู่นาน ก็ต้องกลับมาร้านอาหารที่เมื่อตอนเช้าเราได้กินไป เพราะมันใกล้ที่พักและรสชาติดี. .. 

ผมสั่งเบอร์เกอร์ มอส และโจ สั่ง แซนวิส ซึ่งอาหารของที่ลาวไม่เหมือนที่ไหน แน่นอน
ระหว่างที่ยืนรอ. ..มีชาวต่างชาติ(ฝรั่ง)คนนึงเดินเข้ามา ที่ร้านเหมือนว่าจะสั่ง ด้วยความขี้แซว(อีกแล้วสินะ) ก็บอกให้ โจ แนะนำอาหารให้ชาวต่างชาติคนนั้น. . แต่เค้ากลับเป็นคนมาคุยกับผม(โรคกลัวชาวต่างชาติกำเริบอีกครั้ง)

ชาวต่างชาติคนนี้เป็นผู้ชาย สูงล่ำ ขาว เท่ แต่ท่าทางจะ ใกล้เมา. ..
ชาวต่างชาติ : You are here?
หมิง : No I'm thailand.
ชาวต่างชาติ : Wow! where are you come from ?
หมิง : Chiangmai. . (หลังจากนั้นพี่แกรู้ว่าผมมาจากเชียงใหม่เค้าก็เล่ายาวเลยว่าพี่แกเคยไปไทยมา ไป เชียงราย เชียงใหม่ ข้าวสาร พี่แกเค้าเป็นคนเดนมาร์ค ออกเที่ยวสามเดือนแล้ว ทั้งอินเดีย ทิเบต และจะไปเวียดนามและกัมพูชาต่อ เท่าที่แปลได้ ดูพี่แกจะรักเมืองไทยพอสมควร)

เพื่อนผมทั้งสองไม่รู้หายไปตั้งแต่ตอนไหน พอผมหาเจอก็เรียกให้มาช่วยคุยด้วย เพราะตัวผมคนเดียวอาจจะประคองชีวิตกับฝรั่งได้อีกไม่นาน เนื่องจากภาษาอังกฤษนั้น ไม่ได้ เวรี่กู๊ดซักเท่าไหร่

พอรวมตัวกันครบสามคน. ..
ชาวต่างชาติ : The King is he OK ?  is he came out from the hospital ?
เราสามคน : . . .
โจ : He doing well.
ชาวต่างชาติ : He do many thing for thai people.
โจ : Yeah Thai people love him.

การสนทนาโดยบังเอิญในครั้งนี้ไม่คิดเลยว่าหนุ่มต่างชาติคนนี้จะถามคำถามแบบนี้ ทำให้เรา รู้ว่าคนไทยทุกคนโชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทยโดยมีในหลวงคอยดูแลเรามาตลอด แม้กระทั่งชาวต่างชาติยังอิจฉาคนไทย ชาวต่างชาติหลายคนหวังที่จะไปเที่ยวประเทศไทยเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงามไม่น้อยกว่าชาติไหนเลย เราสามคนรู้สึกดีมากที่ ได้รู้ว่าชาวต่างชาติคิดยังไงกับคนไทย และหวังว่าประเทศไทยจะเปนประเทศที่หนุ่มชาวเดนมาร์คคนนี้ชอบที่สุด 

ระหว่างทางเราได้แวะ ซื้อตั๋วจากที่พัก เพราะมีรถทัวร์ ตรงดิ่ง วังเวียงสู่อุดรธาณี ที่ Champa Lao The Villa คนละประมาณ 110,000 กีบ เราเลยต้องรูดบัตร เดบิต เพราะเราใช้งบเกินกว่าที่กำหนดไปนิดหน่อย 
ตั๋ว เดินทางกลับ วังเวียง-อุดรธานี

ตั๋ว เดินทางกลับ วังเวียง-อุดรธานี
หลังจากที่กลับมาถึงที่พักทุกคนก็เตรียมตัวนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า
... .. .
... .. .. .. ... .
... .. ...... ... .. .. .
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" เสียงที่ถูกเคาะจากประตูไม้หน้าห้อง เป็นฝีมือพี่สาวที่ เราร่วมทริปที่วังเวียงด้วย พี่ๆเค้าชวนเราไปดื่มในคืนสุดท้ายก่อนกลับจากประเทศลาวเพราะพี่เค้ามีเหล้าโชจู(เหล้าเกาหลี...ที่ซื้อจากลาว??) ชวนเราสามคนไปกิน ด้วยความที่เป็นเด็กดีจึงตอบปฏิเสธไป. ..
หมิง : กี่โมงละวะ
โจ : สามทุ่มวะ. .. 
ทุกคน : ... .. . ปะ!
สามทุ่มยังคงไม่ใช่เวลานอนของวัยรุ่นยุคนี้ แล้วนี่เป็นคืนสุดท้ายด้วยทำไมจะไม่ใช้เวลาให้คุ้มที่สุด พวกเราสามคน ลงตามพี่ๆทั้งสองเพื่อไปดื่มด่ำกับบรรยกาศที่ สุดแสนจะสบายปอด.. .

ต้องบอกก่อนอีกว่า พี่ สองคนนี้ มีอะไรที่พิเศษและนึกไม่ถึงมากๆ ตั่งแต่เราเจอครั้งแรกโดยบังเอิญที่สถานีขนส่ง เวียงจันทร์ หลวงพระบาง จน กระทั้งวังเวียง พี่ทั้งสอง เค้าชื่อว่า พี่โบ กับ พี่เบย์ ทั้งสองทำงานอยู่ที่ กรุงเทพ และ ในความคิดผม แม่ง... Backpacker ตัวจริงเลย ผู้หญิง สองคน ในต่างประเทศ โดยไม่ได้วางแผนใดๆ นอกจากการอ่านรีวิว การท่องเที่ยว จากที่ต่างๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพี่ๆเค้า เพราะพี่เค้ามีอายุ. . ....(เป็นเรื่องที่เราสาคนทายกันไม่ถูกเลยทีเดียว)เอาเป็นว่าขอปิดเป็นความลับละกัน เราโชคดีมากในทริปครั้งแรกของปีนี้ ที่ประเดิมมาก็เจออะไรดีๆในสถานที่ดีๆ.. ..(ยินดีที่ได้รู้จัก..พี่เบย์,พี่โบ)...............................พวกเรา กรึ่มๆกันได้ที่เลยละครับ .. .ฝันดี สปป.ลาว

พี่โบ,พี่เบย์
 การเดินทาง มักจะให้อะไรเราเสมอทุกครั้งแม้เราแค่ก้าวออกจากบ้าน คิดดูสิว่าเราออกไปท่องโลกเราจะเจออะไร มากมาย มิตรภาพ ประสบการณ์ชีวิต ความคิดผู้คน ถ้าผมไม่ตัดสินใจ จองตั๋วเครื่องบิน ผมคงไม่ได้เห็นอะไรดีๆแบบนี้  และการอ่านการดูผ่านสื่อต่างๆ ถึงจะทำให้มีแรงบันดาลใจแต่ก็ไม่ได้ให้ประสบการณ์คุณ เพราะฉะนั้น ปิดบล๊อคนี้แล้ว เก็บกระเป๋าออกเดินทางได้แล้วครับ ..แล้วพบกันเมื่อการเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้น
บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล



บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล

บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล

บรรยากาศ จำปาลาว บังกาโล